วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

LED กับ LCD เทคโนโลยีจอภาพ

เวลาเดินในห้างผ่านโซนไอที ทุกท่านจะเห็นกับจอทีวีหลากหลาย จอเล็กบ้างใหญ่บ้าง บางจอภาพมันคมชัดมากๆ เมื่อเข้าไปดูตรงรายละเอียดก็พบคำว่า LEDหรือไม่ก็ LCD ซึ่งเจ้าคำสองคำนี้ที่ทำให้น้ำใสติดใจว่ามันคืออะไร ทำไมจอถึงได้ดูคมชัดสมจริงแบบนี้ วันนี้บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจกัน

ยุคนี้ถือเป็นยุคของแอลซีดีเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมอนิเตอร์หรือทีวีก็ตามด้วยราคาที่แสนเร้าใจ แถมยังคุณภาพของภาพที่ได้ก็ดีขึ้นมากใกล้เคียงจอแบบ CRT เข้าไปทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอแอลอีดี – แอลซีดี เริ่มมีมาให้เห็นกันมากขึ้น แต่คงยังมีความสับสนอยู่ไม่น้อยกับจอภาพแอลอีดี-แอลซีดีที่เข้ามาจำหน่ายอยู่ในเวลานี้ แท้จริงแล้วคืออะไร เป็นแบบไหนกันแน่หาคำตอบให้หายสงสัยจากบทความนี้เลยครับ

แอลอีดี (LED) – แอลซีดี(LCD)

ยังมีความสับสนกันไม่น้อยสำหรับจอภาพแอลอีดี LED ย่อมาจาก Light-emitting-diod ที่มีออกมาจำหน่ายในเวลานี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคำโฆษณาของผู้ผลิต ทำให้ผู้ใช้เข้าใจไปว่ามันคือจอภาพแบบใหม่ เป็นเทคโนโลยีใหม่ แท้จริงแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นจอภาพที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ เป็นยุคถัดไปที่จะมาแทนที่แอลซีดี เรียกว่าจอภาพแบบโอแอลอีดี(OLED) จะใช้หลอดแอลอีดีมาเรียงรายกันบนพาแนลแล้วทำให้เกิดภาพด้วยการติด – ดับของหลอดแอลซีดีซึ่งก็ได้ภาพที่ตาเรามองเห็นออกมา ซึ่งในเวลานี้มันยังมีราคาที่สูงเอามากๆ มีแต่ตัวต้นแบบออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง ด้วยต้นทุนที่สูงอยู่ทำให้ยังไม่สามารถผลิตออกมาเพื่อจำหน่วยได้จริง รวมไปถึงยังพัฒนาไปได้ไม่เต็มที่นัก เพราะยังไม่สามารถผลิตจอภาพโอแอลอีดีที่มีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งคุณภาพที่ได้เทียบกับจอแอลซีดีรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนามาเยอะแล้ว ภาพของแอลซีดียังถือว่าทำได้ดีกว่า และยิ่งเทียบกับราคาต่อขนาดกันแล้ว ในเวลานี้จอ LED เริ่มออกมาสู่ท้องตลาดแล้ว ภาพที่ได้ก็ให้ความรู้สึกที่ดูแล้วสบายตา สมจริงมากๆ เราได้เห็นจอภาพแบบโอแอลดอีดีตัวแท้ๆ ออกมาจำหน่ายแต่ก็ยังไม่กล้าคิดถึงราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่มากๆ



จอ LED จอ LCD

ได้ทำความรู้จักกับจอภาพที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ จอภาพแบบโอแอลอีดีกันบ้างไปแล้ว คราวนี้เรามาเรื่องจอแอลอีดีซึ่งเป็นหัวข้อหลักของเราในบทความนี้กันต่อ สำหรับจอแอลอีดีซึ่งเป็นหัวข้อหลักของเราในบทความนี้กันต่อ สำหรับจอแอลอีดีที่จำหน่ายกันอยู่เวลานี้ เรียกว่าอยู่ในกระแสที่คนกำลังให้ความสนใจกันไม่น้อยทีเดียว แท้จริงแล้วมีนก็คือจอภาพแบบแอลซีดีที่เราใช้กันอยู่ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนการทำงานภายใน งานนี้ต้องนึกไปถึงการทำงานของจอแอลซีดีกันเล็กน้อย โดยโครงการสร้างภาพของแอลซีดีจะใช้การเปลี่ยนแปลงของเหลวที่อยู่ภายใน ซึ่งทำปฏิกิริยาแบบผกผันลันกับอุณหภูมิซึ่งไม่ควนเอาโน้ตบุ๊กไว้ในรถนะครับ แล้วใช้การยิงลำแสงผ่านจากด้านหลังพาแนลที่เรียกกันว่าแบ็กไลต์ (Backlit เป็นคนละแบบกับแสงแบ็กไลต์ที่จสะท้อนแสงในที่มืด) ซึ่งเป็นสีขาวโดยใช้หลอดฟลูออเรศเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นภาพที่ตาเราสองเห็นได้ แท้จริงแล้วก็เหมือนเราดู “เงา” ของผลึกเหลวในขณะทำงาน เพราะจอภาพแอลซีดีไม่สามารถกำเนิดแสงได้ด้วยตนเองจึงต้องใช้การยิงแสงแบ็กไลต์(Backlit) นั้นเอง ซึ่งตรงจุดนี้ล่ะแบ็กไลต์จากเดิมซึ่งใช้เป็นหลอดไฟฟลูออเรสเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) มาใช้เป็นหลอดแอลอีดีแทน และยังเป็นการใช้หลอดแอลอีดีถึงสามสีประกอบด้วยแม่สี แดง เขียว น้ำเงิน (RGB)

แอลอีดี อีกระดับของภาพจากจอภาพแอลซีดี

การเปลี่ยนมาใช้ไปแบ็กไลต์เป็นหลอดแอลอีดี มีผลดีตามมาหลายด้านพอตัวครับ โดยเฉพาะเรื่องของภาพที่มันช่วยเพิ่ม Contrast ให้กับภาพที่แสดงผลออกมา จึงแสดงรายละเอียดต่างๆ ของภาพได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในฉากที่แสดงผลออกมา จึงแสดงรายละเอียดต่างๆของภาพให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในฉากที่มีภาพมืดหรือฉากที่มีระดับความสว่างของวัตถุอยู่หลายระดับ แสดงผลสีดำได้ลึกและดูมีมิติมากขึ้น ลบข้อด้อยในการแสดงผลสีดำที่ติดตัวจอภาพแอลซีดีมาช้านานนั้นลงไปใกล้เคียงภาพจากจอพลาสมาที่แสดงผลสีดำได้อย่างยอดเยี่ยมเข้าไปทุกที ช่วยให้แอลซีดีพาแนลสามารถแสดงสีสันได้ดีขึ้น (wider clolor gamut) ทำให้ภาพดูเป็นธรรมาชาติ นอกจากข้อดีในเรื่องของภาพที่ดีขึ้นแล้วยังได้ในเรื่องของดีไซน์ด้วยเพราะจอภาพมีขนาดบางลง ความร้อนในขณะจอทำงานลดลงและประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ด้วยข้อดีหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็เลยทำให้จอแอลอีดีดูน่าซื้อมาใช้เป็นที่สุด

จอ LCD คืออะไร ?

เทคโนโลยีมอนิเตอร์ LCD ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอแสดงผลแบบ (Digital ) โดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเ:ซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น

เทคโนโลยีที่พัฒนามาใช้กับ LCD นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  • Passive Matrix หรือที่เรียกว่า Super-Twisted Nematic (STN) เป็นเทคโนโลยีแบบเก่าที่ให้ความคมชัดและความสว่างน้อยกว่า ใช้ในจอโทรศัพท์มือถือทั่วไปหรือจอ Palm ขาวดำเป็นส่วนใหญ่
  • Active Matrix หรือที่เรียกว่า Thin Film Transistors (TFT) สามารถแสดงภาพได้คมชัดและสว่างกว่าแบบแรก ใช้ในจอมอนิเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ก

TN + Film (Twisted Nematic + Film)
Twisted Nematic (TN) คือสารประเภทนี้จะมีการจัดโครงสร้างโมเลกุลเป็นเกลียว แต่ถ้าเราผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปมันก็จะคลายตัวออกเป็นเส้นตรง เราใช้ปรากฏการณ์นี้เป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงผ่านได้หรือไม่ได้ Twisted Nematic (TN) ผลึกเหลวชนิดนี้จะให้เราสามารถเปลี่ยนทิศทางการสั่นของคลื่นแสงได้ 90? ถึง 150? คือเปลี่ยนจากแนวตั้งให้กลายเป็นแนวนอน หรือเปลี่ยนกลับกันจากแนวนอนให้เป็นแนวตั้งก็ได้ ด้วยจุดนี้เองทำให้การค่า Response Time (ค่าตอบสนองสัญญาณเทียบกับเวลา) มีค่าสูง

IPS (In-Plane Switching or Super-TFT)
การจัดโครงสร้างของผลึกจากเดิมที่วางไว้ตามแนวขนานกับแนวตั้ง (เทียบกับระนาบ) เปลี่ยนมาเป็นวางตามแนวขนานกับระนาบ เรียกจอชนิดนี้ว่า IPS (In-Plane Switching or Super-TFT) จากเดิมขั้วไฟฟ้าจะอยู่คนละด้านของผลึกเหลวแต่แบบนี้จะอยู่ด้านเดียวกันแปะหัวท้ายเพราะย้ายแนวของผลึกให้ตั้งขึ้น (เมื่อมองจากมุมมองของคนดูจอ) เป้าหมายเพื่อออกแบบมาแก้ไขการที่มุมของผลึกเหลวจะเปลี่ยนไปเมื่อมันอยู่ห่างจากขั้วไฟฟ้าออกไป ปัญหานี้ทำให้จอมีมุมมองที่แคบมาก จอชนิด IPS จึงทำให้สามารถมีมุมมองที่กว้างขึ้น แต่ข้อเสียของจอชนิดนี้ก็คือ ต้องใช้ทรานซิสเตอร์สองตัวต่อหนึ่งจุดทำให้เปลืองมาก นอกจานั้นการที่มีทรานซิสเตอร์เยอะกว่าเดิมทำให้แสงจากด้านหลังผ่านได้น้อยลง ทำให้ต้องมี Backlite ที่สว่างกว่าเดิม ความสิ้นเปลืองก็มากขึ้นอีกด้วย

MVA (Multi-Domain Vertical Alignment)
บริษัท Fujisu ค้นพบผลึกเหลวชนิดใหม่ที่ให้คุณสมบัติ คือทำงานในแนวระนาบโดยธรรมชาติและต้องการทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียวก็สามารถให้ผลลัพธ์เหมือน IPS เลยเรียกว่าว่าชนิด VA (Vertical Align) จอชนิดนี้จะไม่ใช้ผลึกเหลวที่ทำงานเป็นเกลียวอีกต่อไป แต่จะมีผลึกเป็นแท่ง ซึ่งปกติถาไม่มีไฟป้อนเข้าไปหาก็จะขวางจอเอาไว้ทำให้เป็นสีดำ และเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้าก็จะตั้งฉากกับจอให้แสงผ่านเป็นสีขาว ทำให้จอชนิดนี้มีความเร็วสูงมาก เพราะไม่ได้คลี่เกลียว แต่ปรับทิศทางของผลึกเท่านั้น จอชนิดนี้จะมีมุมมองได้กว้างราว 160 องศา

ปัจจุบันบริษัท Fujisu ได้ออกจอชนิดใหม่คือ MVA (Multi-Domain Vertical Alignment) ออกมาแก้บั๊กตัวเอง คือจากรูจะเห็นว่าด้วยความที่เป็นผลึกแท่ง และองศาของมันใช้กำหนดความสว่างของจุด ดังนั้นเมื่อมองจากมุมมองอื่น ความสว่างของภาพก็จะเปลี่ยนไปเลย เพราะถูกผสมในอีกรูปแบบหนึ่ง จอ Multidomain ก็จะพยายามกระจายมุมมองให้แต่ละ Pixel นั้นมีผลึกหลายมุมเฉลี่ยกันไป ทำให้ผลกระทบจากการกระมองมุมที่ต่างออกไปหักล้างกันเอง

เทคโนโลยีมอนิเตอร์แบบ LCD มีจุดเด่นหลายประการคือ

  • ขนาดเล็กกะทัดรัดและนํ้าหนักเบา
    ด้วยการทำงานที่ไม่ต้องอาศัยปืนยิงอิเล็กตรอน จึงช่วยให้ด้านลึกของจอภาพมีขนาดสั้นกว่ามอนิเตอร์แบบ CDT ถึง 3 เท่าและด้วยรูปร่างที่แบนราบทางด้านหน้าและด้านหลัง ในบางรุ่นจึงมีอุปกรณ์เสริมพิเศษสำหรับติดฝาผนังช่วยให้ประหยัดพื้นที่มากยิ่งขึ้น
  • พื้นที่การแสดงผลเต็มพื้นที่
    จากเทคโนโลยีพื้นฐานในการออกแบบ ทำให้จอมอนิเตอร์แบบ LCD สามารถแสดงผลได้เต็มพื้นที่เมื่อเปรียบเทียบกับแบบ CDT ขนาด 17 นิ้วเท่ากัน พื้นที่แสดงผลที่กว้างที่สุดจะอยู่ที่ 15 นิ้วกว่าๆ เท่านั้น
  • ให้ภาพที่คมชัด มีรายละเอียดสูง และมีสัดส่วนที่ถูกต้อง
    เนื่องจากมอนิเตอร์มีความแบนราบจริง
  • ช่วยถนอมสายตาและมีอัตราการแผ่รังสีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตํ่ามาก
  • ประหยัดพลังงานไฟฟ้า
    ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ตํ่ากว่าจอ CDT ถึง 60 เปอร์เซ็นต์
  • ความสามารถในการรองรับอินพุต (Input) ได้หลายๆแบบพร้อมกัน
    เนื่องด้วยมอนิเตอร์แบบ LCD สามารถรับสัญญาณจากแหล่งสัญญาณดิจิตอลอื่นๆได้ เช่น โทรทัศน์หรือเครื่องเล่นดีวีดีและบางรุ่นสามารถทำภาพซ้อนจากหลายแหล่งข้อมูลได้ จึงทำให้จอมอนิเตอร์แบบ LCD เป็นได้ทั้งเครื่องรับโทรทัศน์และจอมอนิเตอร์ในเวลาเดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องซื้อมอนิเตอร์หลายๆ

เทคโนโลยีจอแสดงผล LED Screen

จอ LED เป็นระบบจอแสดงภาพขนาดใหญ่โดยใช้หลักการทำงานของการผสมสีของ LED หลัก3 สี ได้แก่ สีแดง (Red), สีเขียว(Green) และสีน้ำเงิน (Blue) หรือเรียกสั้นๆว่าRGB ให้เกิดเป็นสีต่างๆโดยความละเอียดในการปรับสีของLED แต่ละสีจะถูกควบคุมด้วยสายสัญญาณที่มีขนาดตั้งแต่16 บิตขึ้นไปดังนั้นยิ่งควบคุมด้วยจำนวนสายสัญญาณมากขึ้นก็จะได้ภาพที่มีความลึกของสี (Processing depth) มากขึ้นจึงได้ภาพที่สมจริงยิ่งขึ้น

ความก้าวหน้าในกระบวนการผลิตจอแสดงผล ทำให้สามารถมองถาพได้สมจริงมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยประหยัดไฟ ถนอมสายตา ดีต่อสุขภาพ



ที่มา: http://www.numsai.com

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไวรัส จาก msn

วิธีแก้ไวรัส msn

ตอนนี้จะมีไวรัสทาง MSN ซึ่งการติดเชื้อจะเกิดจากคนที่ใน list คุณส่งไฟล์มาให้
หลังจากที่เราเปิดไฟล์นั้นจะติดเชื้อทันที

ทาง แก้ก็ปิดระบบ auto รับไฟล์ที่หลายๆคนชอบเปิดกันใน msn plus หรือถ้าใครรับมาแล้วก็ไม่ต้องไปเปิดนะค่ะ ลบไฟล์ไปได้เลย ไฟล์จะถูกส่งมาในชื่อ image.zip ค่ะ


แต่ถ้าใครเผลอไปเปิดไฟล์แล้วติดเจ้าไวรัสตัวนี้ไปเรียบร้อยแล้วล่ะก็ เราก็มีวิธีแก้ค่ะ ลองทำตามวิธีนี้ดูนะค่ะ


ทางแก้ ไวรัส images.zip ทาง msn


1. กด ctrl + Alt + del เพื่อเรียก task manager


2. ดูที่ process list ว่ามี winlog32.exe หรือไม่ ถ้ามี ให้ end task ไป


3. ไปดูที่ start => run พิมพ์ว่า msconfig แล้ว enter


4. ไปที่ แท๊บ start up ดูหา Winlog32.exe ให้ uncheck มัน แล้ว กด OK ยังไม่ต้อง restart


5. เข้า Start => Search แล้วไป search ที่ drive c: หาไฟล์ winlog32.* ถ้าเจอ winlog32.exe – ให้ลบทิ้งไป


6. restart Windows ก็เป็นอันเสร็จสิ้นค่ะ


และอีกวิธีคือการเปลี่ยนพาสเวิร์ดเอ็มของเราครับ หลายคน(อาจจะ)งง ว่าจะเปลี่ยนทำซากอะไร มายุ่งอะไรกับเอ็มกู อ้าว ผมหวังดีครับ เพราะถ้าท่านติดไวรัสข้างต้น หรือไปเผลอเข้าเว็บดักพาสเวิร์ด ที่มันลองเอาเอ็มท่านไปแพร่ไวรัสใส่เพื่อนท่านต่อ ซึ่งถ้าเพื่อนของท่านติด ก็จะมาเตะ(หรือทำอย่างอื่น)เพื่อแก้แค้ดที่ทำให้เครื่องเค้าติดไวรัสครับ


ไวรัส msn เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์อีกรูปแบบหนึ่งที่เจาะจงโจมตีผู้ที่ชอบเล่นmsn messengerโดยเฉพาะ ในปัจจุบันผู้ใช้งานmsnแทบทุกคนรู้จักไวรัสคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กันเป็นอย่างดีเพราะมีการแพร่ระบาดหนักมาก การแพร่กระจายพันธุ์ของไวรัสชนิดนี้มักจะมากับ
ข้อความสนทนา(Contects MSN) ของเพื่อนๆที่อยู่ในListเรานั่นเอง โดยในข้อความจะมีลิ้งค์แปลกส่งมาด้วย หากเราเผลอคลิกเข้าไป
ด้วยความมือไวก็อาจจะติดไวรัสชนิดนี้ทันที


ไวรัส msn ได้ถูกพัฒนารูปแบบของการโจมตีแบบใหม่ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุดล่าสุดไวรัสmsnสามารถออนไลน์MSNได้เองและส่งข้อความแนบลิ้งค์ไป ยังเพื่อนๆในListของเราแบบกระหน่ำส่งอีกด้วย หลังจากส่งเสร็จก็จะ offline ไปแล้วก็กลับมา online ใหม่อีกครั้งแล้วก็ส่งข้อความมาอีกแบบไม่มีที่สิ้นสุดสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนๆ จากลักษณะของการโจมตีดังกล่าวบ่งบอกชัดเจนถึงจุดประสงค์ของไวรัส msn คือ ที่ต้องการหลอกลวงข้อมูลจากเพื่อนๆ ของเรานั่นเอง ดังนั้นเราจำเป็นต้องรีบหาวิธีป้องกันโดยด่วน


รูปแบบของไวรัส MSN



มีการส่งลิ้งค์พร้อมข้อความ(กำลังระบาดในปัจจุบัน) โดยรูปแบบนี้ เมื่อเพื่อนๆคลิกที่ลิงค์ ก็จะนำไปสู่เว็บ จะมีช่องให้กรอกข้อมูล รูปแบบนี้เรียก การดักข้อมูล (Phishing) อาจจะขโมยรหัส ถ้าเพื่อนๆเผลอไปล็อกอินเข้าอาจจะโดนขโมยข้อมูล แถมมีไวรัสและยังทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆเป็นตัวแพร่กระจายไวรัส ไปสู่คนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอีเมล์ของ hotmail


วิธีแก้ปัญหา


หากพบอาการดังกล่าว อย่าแก้ปัญหาด้วยการ Block Contects ของเพื่อนๆคนนั้น วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายๆมาก เพียงแค่บอกเพื่อนๆที่ติดไวรัสแบบนี้ ให้เปลี่ยน Password Email ที่ใช้อยู่ทันที ควรตั้ง Password ให้ยากต่อการคาดเดา (อย่าลืมจดกันลืมไว้ด้วยนะครับ) เพียงเท่านี้พวกที่ไม่ประสงค์ดี ก็ไม่สามารถใช้อีเมล์ของเพื่อนๆเป็นเครื่อง มือในการแอบอ้างปล่อยไวรัสอีกต่อไป…


โปรแกรมฆ่า ไวรัส MSN สายพันธุ์ Win32-IRCBot ที่ระบาด ณ ขณะนี้ ตัวนี้ลบได้ 3 สายพันธุ์ ดังเช่นหากคุณได้รับไฟล์ดังต่อไปนี้


images.zip
pic.zip
photos.zip




http://msgmixlive.spaces.live.com/

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แข็งแรงที่กาย แข็งแรงที่ใจ


ความแข็งแรงที่สมบูรณ์แบบคือต้องแข็งแรงทั้งกายและจิตใจแต่จะทำอย่างไรล่ะ สุขภาพถึงแจ่มแจ๋วข้างนอกข้างในได้อย่างที่ต้องการ

1. ปลุกสมองด้วยน้ำชา

ในตอนเช้าแทนที่จะดื่มกาแฟอย่างเคย ลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำชาแทน เพราะมีคาแฟอีนน้อยกว่าชาครึ่งหนึ่ง และมีแมงกานีสที่ช่วยทำให้สมิงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ไม่ใช้ลิฟต์

ในลิฟต์แคบๆ นั้นไม่สามารถระบายอากาศได้เพียงพอ จึงมีเชื้อโรคคล่องลอยอยู่มากมาย ถ้าเปลี่ยนมาขึ้นบันไดแทน นอกจากอากาศจะดีกว่าแล้ว เรายังได้ออกกำลังกายทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้นด้วย

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้อารมณ์ดีและกระตุ้นการเผาพลาญอาหาร ทำให้อ้วนยากอีกด้วย

4. ใช้ถุงยางแบบใหม่

ช่วยให้ความรู้สึกเวลาร่วมเพศเปลี่ยนไป สร้างความแปลกใหม่ให้กับตัวเอง นอกจากนี้การใช้คอนดอมเป็นประจำยังลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

5. เริ่มวันใหม่ด้วยธัญพืช

ได้แก่ซีเรียลธัญพืชน้ำตาลต่ำกับนมพร่องไขมันหนึ่งชาม เป็นอาหารเช้าที่เหมาะกับทุดคนร่างกายจะได้ทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ แป้ง และวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับหนึ่งวัน

6. ทานปลาเป็นประจำ

ปลามีโปรตีนสูงและช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ช่วยลดโคเลสเตอรอลและมีไขมันที่ดีต่อร่างกาย

7. หยุดพักเสียบ้าง

ระหว่างวันควรหาเวลาสัก 10 นที หยุดพักบ้างเพื่อยืดเส้นยืดสาย ร่างกายจะได้ไม่ล้าและทำให้เลือดสูบฉีดได้ทั่วตัว เช่น ลุกขึ้นมาเดิน หรือก้มตัวขึ้นๆ ลงๆ ที่โต๊ะ

8. กินอาหารทะเล

อาหารทะเลมีวิตามินบี 6 อยู่เป็นจำนวนมากจะช่วยลดอาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือนได้และยังช่วยลดอัตราการเป็นอัลไซเมอร์ได้ถึง 4 เท่า

9. ใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร

เพราะเศษอาหารจะทำให้มีกลิ่นปาก จึงควรกำจัดออกไปเพื่อรักษาฟันให้แข็งแรงและบุคลิกภาพที่ดี

10. กินเต้าหู้

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและแคลอรีสูง หันมากินโปรตีนจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง จะสามารถลดแคลอรีได้ถึง 100 – 150



ที่มา : นิตยสาร SPICY

11 อ. เพื่ออายุยืนยาว

ประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 6.3 ล้านคนในอีก 6 ปีข้างหน้า และปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น คือ ผู้หญิง 70 ปี และผู้ชาย 68 ปี

แต่พออายุถึงวัย 50 บางคนก็ดูทำอะไรช้าลง ระวังตัวมากขึ้น ไม่ค่อยมีความสดชื่น ความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ในตัว ในขณะที่อีกหลายๆ คน ทั้งที่อายุเลย 60 มาแล้ว แต่ก็ยังสดชื่นอยู่ ดูเป็นหนุ่มใหญ่ สาวใหญ่มาดดี มีเสน่ห์ และยังดูสนุกสนานกับสิ่งข้างๆ รอบตัว ดูมีคุณภาพชีวิตที่ดี

คุณภาพชีวิตที่ดี มีหัวใจสำคัญ 4 อย่าง

  1. ร่างกายที่แข็งแรง (Biological)
  2. จิตใจที่มีความสุข (Phychological)
  3. วิญญาณ หรือความภาคภูมิใจในตัวเอง
  4. สังคมดีๆ ที่อยู่รอบตัว (Social) เช่น ลูก หลาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ รอบตัว

การปฏิบัติตน อย่างง่ายๆ ตามหลัก 11 อ.

1. อาหาร

ระยะอายุ 50 ปีเป็นวัยที่ควรจะช่วยประคับประคองการทำงานของเซลล์นับล้านๆ เซลล์ที่อยู่ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ เพราะวัยนี้มีการเสื่อมถอยของระบบการทำงานในอวัยวะทุกระบบ และระบบการเผาพลาญอาหาร (metabolism) ดังนั้นควรลดปริมาณอาหารลง ให้สัมพันธ์กับการใช้พลังงานจริงคือประมาณ 1,500 กิโลแคลลอรี่ต่อวัน และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผัก และผลไม้วันละ 5 จานเล็ก

2.อากาศ

ถ้าได้ออกซิเจนที่ดีจากพื้นที่ดปร่งอย่างเช่น ในสวนสาธารณะตอนเช้าๆ จะทำให้เลือดที่สูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายมีปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอทำให้เซลล์มีคุรภาพส่งผลให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไอเสียจากรถยนต์หรือโรงงาน ตลอดจนสียงดังจากเครื่องยนต์ต่างๆ โดยอาจจะมีการปลูกต้นไม้รอบๆ บ้านและสร้างรั้วที่มิดชิด

3. ออกกำลังกาย

ช่วยทำให้คงสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆ และทำให้การสูบฉีดเลือดไหลเวียน (Blood Circulation) ไปเลี้ยงร่างกาย และเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างดี ทำไห้ร่างกาย และหัวใจทำงานได้อย่างราบรื่น

ผู้สูงอายุควรออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที

4. อนามัย

- ไม่สูบบุรี่ เนื่องจากวัยเสื่อมถอย การสูบบุรี่จะทำให้ถุงลมปอดทำงานได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีคราบนิโคติน และสารพิษอื่นๆ ที่ปนเปื้อนอยู่ในบุหรี่ไปเกาะติดในหลอดลม และถุงลมปอด

- ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ตลอดจนยาเสพติดประเภทต่างๆ

- สังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและจิตใจวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าสังเกตพบความผิดความปกติในระยะเริ่ใต้น จะทำให้การรักษาได้ผลดี

- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

5. (แสง)อาทิตย์

การรับแสงแดดอ่อน ในตอนเช้า เพื่อให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพิ จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสของร่างกาย สามารถป้องกันและซะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

6. อารมร์

ผู้สูงอายุจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น หงุดหงิด โมโหโกรธง่าย ทำให้ขาดสติในการพิจารณาไตร่ตรองเหตุผล ต่อให้เกิดความขัดแข้งกับบุคคลอื่นได้ง่าย ต้องหาวิธีในการควบคุมอารมณ์ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การทำสมธิ การศึกษาธรรมะ จะช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย มีสติมากขึ้น

7. อดิเรก

ผู้สูงอายุควรหางานอดิเรกทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือลดการหมกหมุ่นในสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

8. อบอุ่น

การเป็นบุคคลที่มีบุคคลิกโอบอ้อม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้การช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและบุคคลอื่น เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

9. อุจจาระ / ปัสสาวะ

ถ้ามีปัญหาเรื่องท้องผูก ส่งผลให้มีสารพิษตกค้างในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ถ้าเป็นบ่อยๆ การป้องกันการเกิดท้องผูก โดยการรับประทานอาหารผักผลไม้ดื่มากๆ และออกกำลังกายอบ่างสม่ำเสมอ ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราย เช่น การขมิบก้น และช่องคลอด

10. อุบัติเหตุ

ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุโดยวิธีการต่างๆ เช่น สายตายาวต้องใส่แว่นสายตา หูได้ยินไม่ชัดเจนต้องไปตรวจเพื่อแก้ไข สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมต้องไปปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

11. อนาคต

จะต้องมีการเตรียมเงินและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นหลักประกัน ในการดำเนินชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยอายุ

หลักการปฏิบัติตัวง่ายๆ เพื่อความพร้อมในการก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เท่านี้ก็สามารถเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แล้ว



ที่มา : นิตยสาร ใกล้หมอ

กินอะไรดีที่ช่วยให้สดชื่นได้ 100%


น้ำดื่ม ปัจจัยหลักของการดำรงชัวิตที่เดียว การดื่มน้ำมาก จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น โดยเฉพาะเวลาหน้าร้อน การดื่มน้ำบ่อยกว่าเดิมจะช่วยได้มาก เพราะร่างกายเดิมจะช่วยได้มาก เพราะร่างกายจะขาดน้ำง่ายกว่าปกติ ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่มีรสชาติอย่างน้ำผลไม้ หรือน้ำโซดากลิ่นผลไม้ก็จะช่วยได้มาก น้ำตาลที่อยู่ในน้ำจะช่วยทำให้เรามีพลังงานสดชื่นขึ้น ส่วนพวกน้ำแร่ก็ดีเช่นกัน

เครื่องดื่มหลังออกกำลังกาย หรือ Sports drinks เครื่องประเภทนี้นอกจากจะให้น้ำและพลังงานแล้ว ยังช่วยป้องกันการขาด น้ำของร่างกายด้วย และคาร์โบไฮเดรตจะให้พลังงาน มีเครื่องดื่มบางแบบที่มีโปรตีนรวมอยู่ด้วยเล้กน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้พลังงานเช่นกัน รวมทั้งทำให้หายเหนื่อยจากการออกกำลังกายได้เร็วขึ้นอีกด้วย

แตงโม เห็นเนื้อสีแดงๆ ฉ่ำๆ อย่างนี้ บอกไว้ได้เลยว่ามีน้ำและน้ำตาลเยอะ เหมาะสำหรับไว้ทานหน้าร้อนที่สุด ยิ่งเวลาเอาไปแช่ในตู้เย็นมันให้เย็นเจี๊ยบ เอามากินตอนร้อนๆ หวานอร่อยอย่าบอกใคร คนญี่ปุ่นจะชอบกินอตงโมมากๆในช่วงหน้าร้อน ในแตงโมมีปริมาณน้ำกว่า 90% แถมยังมีสารที่ช่วยป้องกันโนคมะเณ้งได้อีกด้วย

ชาเย็น เป็นอีกเครื่องดื่มหนึ่งที่ช่วยให้สดชื่นได้ แต่อย่าดื่มเยอะไปเพราะชามีคาเฟอีนอยู่ด้วย ถ้าดื่มเกิน6 แก้วต่อวัน จะทำให้ร่างกายเกิดอาการขาดน้ำได้ ดังนั้น ควรดื่มแต่แก้วสองแก้วพอแล้ว

แตงกวา นี่สุดยอดผักที่มีน้ำเยอะมาก มากกว่าแตงโมเสียอีก คือมีน้ำอยู่ประมาณ 96 % แถมยังไม่มีแคลรี่อีกต่างหาก ถึงแม้ว่า แตงกวาอาจจะไม่ใช่ผักที่มีสารอุดมมากที่สุด แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีน้ำอยู่มาก และมีวิตามินต่างๆ อีกด้วย เอามาใส่สลัดกินเย็นๆ แก้ร้อน อร่อยแถมได้ประดยชน์อีกด้วย

กินผักผลไม้เป็นขนมขบเคี้ยวกีกว่า

สำหรับคนที่ไม่สามารถเลิกนิสัยกินจุบกินจิบได้ ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีมาช่วยแล้ว ลองหันมากินพวกผักผลไม้แทนที่จะกินมันฝลั่งทอด เกี๊ยวทอด คุกกี้ หรือเค้กต่างๆ เวลาออกไปกินข้าวกลางวัน ก็ซื้อผลไม้กลับมาที่กินที่โต๊ะด้วย แทนการซื้อก็เปลี่ยนมาเป็นผลไม้ด้วย ถ้าอยากกินไอศกรีมจริงๆ ลองหาไอศกรีมแคลลรี่ต่ำที่ทำจากผลไม้จริง ถ้าสาวคนไหนชอบกินไอศกรีมแท่งมาก โดยการเอาองุ่นไปแช่แข็งไว้รับรองเหมือนไอศกรีมเลย

อาหารช่วยทำให้ร่างกายฟิต

ต้องทางอาหารช่วยด้วย อาหารที่ช่วยให้ร่างกายฟิตและสร้างกล้ามเนื้อนั้น เช่น ถั่วแดง เนื้อวัว (แบบออร์แกนิค) บาร์บีคิวไก่ ไข่ และโยเกร์ตสด ของเหล่านี้มีสารอาหารอย่างเช่น โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต เพื่อที่จะช่วยให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อ ส่วนในโยเกิร์ตและไข่ก็จะมีแคลเวียมที่เสริมสร้างกระดุกอีกด้วย ทำให้ร่างกายของคุณเฟิร์ม ใส่บิกินี่ได้ไม่อายใคร



ที่มา : นิตยสาร เคล็ดลับการกินเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

กดข้อนิ้วรักษา 9 โรค

การกดจุดตามหลักแพทย์แผนจีน เป็นวิธีการรักษาโรคที่ได้รับการสืบทอดกันมาหลายพันปี เรามีวิธีกดข้อนิ้วมือเพื่อเยียวยาโรคมาแนะนำ

1. โรคตับ กดคลึงข้อทั้งสองของหัวแม่มือขวา

2. หูอื้อ กดคลึข้อทั้งสามของนิ้วนางทั้งสองข้าง

3. ปวดเข่า กดคลึงด้านข้างข้อทั้งสามของนิ้วก้อยมือซ้าย

4. เบาหวาน กดคลีงสองของหัวแม่มือซ้าย

5. ความดันโลหิตสูง กดคลึงโคนนิ้วก้อยซ้าย

6. หัวใจ กดคลึงข้อทั้งสามของนิ้วก้อยมือซ้าย

7. ปวดระดู กดคลึงข้อทั้งสามของนิ้วกลางมือขวา

8. ตาเมื่อย กดคลึงข้อทั้งสามของนิ้วกลางมือขวา

9. เสริมพลังแก่พลังร่างกาย กดคลึงข้อทั้งสามของนิ้วกลางมือซ้าย

แต่ละจุดให้กดคลึงครั้งละ 3 นาที ทพวันละ 1- 2 ครั้ง แต่ถ้ามีไข้หรือนิ้วมือมีบาดแผลควรหยุดทำ

นอกจากกดจุดแล้ว การออกกำลังกายด้วยการรำไทเก๊ก ซี่กง หรือรำระบอง ก็เป็นแนวทางป้องกันโรคได้ซะงักงันนัก


ที่มา : นิตยสาร ชีวจิต

8 วิธีถนอมสายตาเมื่ออยู่หน้าคอมพ์

1. เลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบแบบง่ายๆ ทำโดยการปิดสวิตช์ภาพ แล้วเอาหรือแขนไปจ่อไว้ไกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด ซึ่งจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่บริเวณผิวเลย

2. ปรับแสงและความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตาให้มากที่สุด รวมทั้งความสว่างภายในห้องเราด้วย เพราะหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า และจอภาพมีความสว่างมาก ก็ยิ่งสงผลเสียต่ดวงตาได้ง่ายขึ้น

3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาพอประมาณ 18-24 นิ้วหรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับระดับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา ซึ่งหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กันอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

4. ควรใส่แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นการช่วยกระจายรังสีจากคอมพิวเตอร์สู่สายตา ที่สำคัญควรเลือกแบที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้

5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นละอองอาจะทำให้เกิดการสะท้อนมากยิ่งขึ้น

6. การหยุดพักหรือการเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานซะใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องหรือเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ เช่น หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยเริ่มการทำงานต่อไป ก็จะช่วยให้ถนอมสายตาได้

7. ใช้ผ้าซุปน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้น ปิดไฟ นอนพะสักครู่ เพื่อเป็นการซาร์ตพลังงายให้กลับสายตามาแข็งแรงอีกครั้ง

8.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ แจจะเกิดการตาแห้งเพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นห้องห้องแอร์ เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยดน้ำตาเทียมก็จะช่วยให้ตากลับมาสดชื่นอีกครั้งได้

***ตะบองเพชรช่วยได้

ลองหากระถางกระบองเพชรต้นเล็กๆ มาวางใกล้ๆ กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูสิ เพราะกระบองเพชรมีความสามรถดูดซับสังสี ได้เป็นอย่างดี

ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าตาของหัวใจ แต่ถ้าไม่ไช่ดวงตาล่ะ เราจะใช้อะไรเป็นหหน้าตาของหัวใจดี…???


ขอขอบคุณ : นิตยสาร candy

5 เทคนิคแก้เมารถแบบมือโปร

แผนการท่องเที่ยวที่แพลนไว้ดิบดีต้องหมันแน่ๆ ถ้ามัวแต่เมารถ แต่สำหรับนักเดินทางมือโปร เรื่องนี้ไม่มีทางเกิด เพราะเขามีวิธีที่ได้ผลที่สุดไว้ป้องกันตัว

มองไปข้างหน้า

ข้อห้ามของการนั่งรถทางไกลคือต้องไม่ก้มหน้าอ่านหนังสือหรือเล่นเกมเพราะการก้มหน้าจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก ที่นี้อาการคลื่นใส้ อาเจียนมึงงก็จะตามมา

หยุดพักเมื่อมีโอกาส

อย่างตุลุยนั่งรวดเดียวสิบชั่วโมงรวด ถ้าเป้นไปได้คุณควรบอกให้คนขับจอดพักเป้นระยะๆ อาจจะขอเข้าห้องน้ำหรือเดินยืดสายก้ยังดี เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวกขึ้น

เบาะนี้ของจอง

ท้ายรถจะเป้นส่วนที่ได้รับแรงเหวี่ยงแรงกระทบของรถมากกว่าส่วนหน้าคนที่นั่งตรงนี้จึงเสี่ยงกับการเมามากกว่า เพราะฉะนั้นคนฉลาดอย่างเราจึงต้องใช้วิชาพลิ้วไปนั่งข้างหน้าก่อนที่คนอื่นจะมาแย่งไป

อย่ากินเต็มที่

การมีอาหารเต็มท้องจะทำให้คุณยิ่งรู้สึกคลื่นใส้มากขึ้น ถ้ารู้ว่าจะต้องเดินทาง ผู้หญิงขี้เมาทั้งหลายจึงไม่ควรทางอาหารเต็มที อย่างมากก็รองท้องมานิดๆ หน่อย ก็พอ

เปิดกระจกให้อากาศถ่ายเท

ออซิเจนจะช่วยให้สมองแจ่มใส ลดอาอารเมาลงไปได้ ถึงจะนั่งที่ปิดหน้าต่างมิดชิด แต่ก็ควรที่จะเปิดเป้นครั้งคราว ให้ลมข้างนอกพอออกซิเจนเข้ามาในตัวรถ ยิ่งถ้านั่งที่แออัด ผุ้โดยสารเพียบ ยิ่งควรเปิดหน้าต่างบ่อยๆ ให้อากาสถ่ายเทได้สะดวก


ที่มา : นิตยสาร SPICY

การผ่อนคลายความโกรธ

เมื่อเด็กโกรธจนร้องหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็กลับอารมณ์แจ่มใสอีกครั้ง การพักผ่อนนั้นสามารถตัดสิ่งเร้าได้ชั่วคราว เป็นการผ่อนคลายทั้งร่างกายและความคิด หากการผักผ่อนนั้นสามารถช่วยให้เรากลับมาเริ่มต้นอยู่ในภาวะที่คุมตัวเองได้ มีเหตุผล มีสติแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน แทนการหลับยาวๆ ในทุกครั้งที่เรารู้สึกโกรธ ต้องขอบคุณที่มีผู้ค้นพบและให้คำตอบว่ามนุษย์สามารถผ่อนคลายง่ายๆ ได้เพียงการทำให้ร่างกายอยู่ในท่าที่สบายๆ หายใจลึกๆ ช้าๆ อยู่ในห้องที่เสียบสงบ จอจ้อกับสิ่งที่ไม่กระตุ้นอารมณ์ เช่นนับ 1-10 พูดปลอบตัวเอง เปลี่ยนอากาศไปทำกิจกรรมที่ชอบ เช่นการฟังเพลง ดูหนัง รวมถึงการนึกเรื่องดีๆ นึกถึงสถานที่ที่ผ่อนคลายอารมณ์ในจิตนาการ วิธีเหล่านี้ก็สามารถใช้ได้กับเด็กเช่นกัน ลองเริ่มจากวิธีการเหล่านี้บ่อย ๆ คุณจะพบกับความเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า



พ.ญ.ณัฏฐิฯ ชินนะจิตพันธุ์

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีการประหยัดให้พอกินพอใช้ตลอดเดือน


วันนี้ผมได้เห็นข้อมูลจากหนังสือในการประหยัดตังค์ให้พอใช้ที่จะจับจ่ายอย่างคุ้มค่า แม้จะเขียนมานานแล้ว แต่ก็มีประโยชน์และดูจะเหาะกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้

1.ถ้าจะทำอะไรกินควรจะรู้จัดคำว่าทำอะไรก่อนหลัง เพื่อประหยัดไฟ

2.เวลาซื้อไก่ ควรจะซื้อทั้งตัว จะถูกกว่าไก่แบบตัดเป็นชิ้นๆ แต่ถ้าหากมีเงินพอแค่ซื้อเป็นชิ้นๆ ก็ซื้อไปเถิด…อย่าซื้ออะไรเกินตัว

3.ก่อนจะออกไปซื้อของ ควรกินอะไรรองท้องให้อิ่มเสียก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อกินนอกบ้าน ขอให้พกเงินติดตัวให้น้อย จะได้ไม่ต้องจ่าย(ทำได้ไหมเอ๋ย)

4.ถ้ามีรถยนต์ส่วนตัวใช้ ควรสูบลมยางให้มากว่าเลขต่ำสุดที่บอกไว้สัก 2-4 ปอนด์ จะทำให้ยางสึกหรอน้อยลง พวงมาลัยคล่องขึ้น กินน้ำมันน้อยลง เวลาขับอย่าเร่งเครื่องเร็วเกินไป ความเร็วปานกลาง จะกินน้ำมันน้อย อย่าแก่เหยียบห้ามล้อบ่ายๆ หรือแสดงอภินิหารเลี้ยวรถแบบยกล้อ…..บางจะสึกและเสีย หรืออาจจะทำให้รถตามหลังอารมณ์เสียจนเราต้องเจ็บตัวหรือเสียอะไรก่อนถึงที่หมาย ทางที่ดีควรขึ้นรถประจำทางหรือรถไฟฟ้าดีกว่านะครับ

5.ประหยัดไฟฟ้าด้วยการปิดไฟเวลาไม่ใช้งาน หรือถ้าเป็นห้องแอร์ ควรต้องหิดหน้าต่างให้มิดชิด ห้องจะได้เย็นอยู่เรื่อยๆ ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องสตาร์ดบ่อยๆ จะทำให้ประหยัดไฟฟ้าได้มาก

6. ซื้ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ปลา กุ้ง ผัก ผลไม้ ควรซื้อจากแม่ค้าโดยตรง ไม่ควรผ่านคนกลาง ราคาจะถูกลง ถ้าจะให้ดี….จงไปตลาดกำลังจะวาย จะได้ของถูกว่าตอนเช้า (แต่ของที่ได้ก็คงไม่ค่อยดีนัก ก็เหลือเลือกมาแล้ว…..ปลาก็คงแทนที่เนื้อจะแข็ง กลายเป็นเนื้อนิ่ม ผักก็คงไม่สดเท่าไรนัก)

7.ถ้าลูกๆ ของเงินไปดูหนัง ให้บอกว่า ไปสวนสาธารณะดีกว่าลูก จะได้ไม่ต้องเสียเงิน (แต่อย่าไปสวนจตุจักร เพราะดีไม่ดีอาจจะถูกข่มขืนเป็นของแถม)

8.เงินเดือนออกทุกครั้ง ถ้าทำได้พยายามเก็บเงินจำนวนหนึ่งเอาไปฝากออมทรัพย์….หากต้องการใช้ระยะใกล้ๆ อย่างน้อยจะได้ดอกเบี้ยบ้างเพราะเขาให้เป็นรายวัน ถ้าคิดว่าไม่ใช้ ถ้ามีเงินเหลือใช้น่าเอาไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ ดอกเบี้ยจะมากกว่า โดยออมทรัพย์ร้อยละ 2.5 ฝากประจำอาจจะร้อยละ 5 ถ้าจะให้ดีซื้อพันธบัตรรัฐบาล ปัญหาก็ตรงที่ว่า เราพอจะมีเงินฝากเชียวหรือ ส่วนมากหน้ามืด(ไม่พอใช้) กันเกือบทุกเดือนเป็นประจำอยู่แล้ว

9.ถ้าเงินไม่พอใช้ จำเป็นต้องกู้ ควรจะกู้แบบระยะสั้น ในอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ขูดจนเดือดซิบๆ ไม่ควรกู้แบบส่งผ่อนระยะยาว ดอกเบี้ยมันจะงอกยาวตามไปด้วย

10.ถ้ามีประกันชีวิตหรือประกันภัย ควรส่งเป็นรายปีดีกว่ารายเดือนเพราะประหยัดเงินไปได้เกือบ 7- 8 เปอร์เซ็นต์

11.เวลาเขียนจดหมาย ควรใช้แบบไปรษณียบัตรจะถูกกว่าเขียนแบบใส่ซองจะเสียตรงชาวบ้านได้อ่านกันเพลิน เพราะนิสัยคนไทยค่อนข้างจะสอดรู้สอนเห็นเรื่องชาวบ้านอยู่เรื่อยๆ

12. ถ้าใครในบ้านเกิดเจ็บป่ายต้องกันยา อย่าไปซื้อยาตามร้านกินเองเพื่อหวังว่าจะได้ไม้ต้องเสียค่าตรวจ แต่จะตายเพราะไม่ได้ตรวจ ฉะนั้น อย่าได้เสียดายเงินเรื่องให้หมอตรวจ อย่าซื้อยากินเองโดยพลการจากหมอตี๋ตามร้าน

13. จะซื้อยาอะไร ขอให้นึกก่อนซื้อ ว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น…ซึ้งพี่ไทยก็เหมือนกัน คือ…นึกอย่ากซื้อของทุกวันที่ขวางหน้าไม่ว่าจะจำเป็น

9 ขั้นตอน พลิกโฉมตู้เสื้อผ้าในคอนเซ็ปต์ “หยิบใช้ง่าย – ไม่รก”

ทราบหรือไม่ว่า ความเป็นระเบียบของตู้เสื้อผ้าส่งผลต่อสภาวะจิตใจของคุณถ้าตู้เสื้อผ้ารกรุงรัก คุณจะคุณจะรู้สึกสับสน แต่ถ้าตู้เสื้อผ้าจัดเรียงอย่างดี คุณจะผ่อนคลายและมีความมั่นใจ

ปีใหม่นี้ สร้างความรู้สึกดีๆ ด้วยการจัดตู้เสื้อผ้าตาม 9 ขั้นตอนง่ายๆ แบบไม่เครียด – ไม่เปลือง นอกจากคุณจะได้ตู้เสื้อผ้าใหม่ที่น่าใช้สุดๆ ยังช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาในการรื้อหาเสื้อผ้าใส่ทุกวัน

1. คำนวณงบประมาณ

ไม่ต้องถึงกับจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหาซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่หรือสร้างห้องแต่งตัวเพราะหลายสิ่งที่เรากำลังแนะนำต่อไปนี้คุณสามารถใช้วิธี DIY (Do It Yourself) หรือไปเลือกซื้อในราคาที่เหมาะสมกับงบในกะเป๋า

2. วัดขนาดของตู้เสื้อผ้า

ขนาดของตู้เสื้อผ้าจะกำหนดว่าคุณควรมีเสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหน เริ่มด้วยการนำเสื้อผ้าทั้งหลายออกจากตู้ แล้วแยกประเภทเสื้อ กางเกง กระโปง เดรส จากนั้นวัด ความยาว ความสูง และความกว้างของตู้จดขนาดที่วัดได้ไว้สำหรับการซื้อชั้นวางตะขอ และของใช้อื่นๆ

ความกว้างทุกๆ 1 ฟุตจะใส่กางเกงขายาวได้ 12 ตัว เสื้อเชิ้ต 15 ตัว หรือแจ๊คเก็ต 6 ตัว เมื่อคำนวณแล้วคุณก็พอจะรู้ว่า สามารถใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไปได้จำนวนเท่าไหร่

3. ใช้ทุกตางรางนิ้วอย่างคุ้มค่า

อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ช่วยให้ของทุกชิ้นอยู่ในที่ที่ควรอยู่

ลิ้นชักเตี้ยๆ หรือราวแขวน เป็นการใช้พื้นที่ว่างที่เหลือจากการแขวนชุดสั่นๆ ให้คุ้มค่า

คุณสามารถเลือกพับผ้าเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือแขวนกางเกงหรือกระโปรงสั้นที่ราวด้านล่าง

ชั้นแขวน สำหรับพับเก็บเสื้อยืดหรือผ้าที่ไม่ยับง่าย ช่วยประหยัดพื้นที่

ชั้นวางของ ในตู้เสื้อผ้าส่วนใหญ่มักมีที่วางผ้าขนหนูหรือของอื่นๆ

ช่องหรือกล่องเก็บกระเป๋า สำหรับเก็บกระเป๋าไม่ให้เสียทรง

ตะขอ ติดตะขอ ไว้ที่ผนังตู้หรือที่ผนังห้อง (เลือกมุมที่ติดแล้วห้องไม่ดูรก) สำหรับแขวนผ้าพันคอ เข็มขัด หรือแม้แต่สร้อยเส้นยาว

4. โละ!

จัดการแบ่งเสื้อผ้าออกเป็น 3 กองได้แก่ กองสำหรับเก็บไว้ใช้ บริจาค และทิ้งโยนเสื้อผ้าที่เก่า ขาดใส่กองเสื้อผ้าทิ้งเสื้อผ้าที่ล้าสมัย ใส่ไม่ได้ หรือไม่ชอบแล้ววางไว้ในกองบริจาคหรือนำไปขายต่อ ส่วนเสื้อผ้าที่คุณรัก ยังใส่ได้ เพิ่มซื้อมาได้ไม่นานและจะใส่ต่อไป เก็บเข้าตู้ได้

ถ้าตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวไหนควรอยู่กองไหน ลองเรียกเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเลือก

5. แปลงโฉมตัวเสื้อผ้าให้เป็นห้องเสื้อ

ถ้าโยนเสื้อผ้าเข้าตู้โดยไม่จัด เสื้อผ้าจะเสียทรงและมีรอบยับ การจัดตู้ให้สวยงามไม่เพียงทำให้เสื้อผ้าดูน่าใช้ แต่ยังทำให้เราเห็นชุดทุกชุดใส่ในตอนเช้า

ควรใช้ไม้แขวนเสื้อที่รักษาทรงเสื้อผ้าและจัดเสื้อผ้าตามประเภท จะให้ดีขึ้น ควรเป็นเรียงสีด้วย

6. เก็บของที่ไม่ได้ใช้ไว้นอกตู้

ของที่ยังไม่ใช้ช่วงนี้ เช่น เสื้อผ้าตามฤดูกาล ชุดออกงานพิเศษ ให้ใส่กล่องหรือถุงไว้ด้านนอก โดยเก็บอย่างดีเพื่อป้องกันความชื้น ฝุ่น และแมลง

7. ให้ความสว่างในตู้เสื้อผ้า

ตู้เสื้อผ้าที่ดีควรติดตั้งหลอดไฟ เพื่อให้เห็นเฉดสีของเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน และยังอำนวยความสะดวกในการหาของอื่นๆ

8. ตั้งกฎใหม่ในการช็อปปิ้ง

เมื่อรู้แล้วว่าตู้เสื้อผ้าของคุณควรมีของประมาณกี่ชิ้นทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อเสื้อใหม่สักตัว ให้คิดไว้เลยว่า ต้องมีเสื้อผ้าเดิมสักหนึ่งชิ้นที่ถูกทิ้งไปเพื่อไม่ให้ตู้ของคุณกลับไปรกอีกหรือจะใช้วิธีโละเสื้อผ้าที่ไม่ใส่พร้อมกับซื้อชุดใหม่ๆ สำหรับฤดูกาลที่จะมาถึงในคราวเดียวก็ได้

9. จัดรองเท้าให้มองเห็นได้

ไหนๆก็จัดตู้เสื้อผ้าแล้วควรถือโอกาสจัดตู้รองเท้าไปด้วยเลย จำนวนรองเท้าที่จะเก็บไว้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในตู้ ควรจัดรองเท้าให้หยิบง่ายใช้ง่าย อาจเรียงเป็นคู่โดยแยกประเภท เช่น รองเท้าส้นสูง รองเท้าผ้าใบ รองเท้าลำลอง ฯลฯ หรือใช้กล่องรองเท้าแบบใส เพื่อให้เห็นรองเท้าคู่ที่ต้องการได้ชัด



ที่มา : นิตยสาร SHAPE

ลดเชื้อโรคด้วย น้ำยาซักผ้าขาว


โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงน้ำยาซักผ้าขาว เราจะนึกถึงแต่สรรพคุณการขจัดคราบและรอยเปื้อนต่างๆ บนผ้า แต่ด้วยส่วนผสมของ “โซเดียมไอโปคลอไรด์” น้ำยาซักผ้าขาวจึงเป็นได้มากกว่าตัวช่วยขจัดคราบบนเสื้อผ้า แต่ยังใช้ขจัดสิ่งสกปรกและฆ่าเชื้อโรคได้กับทุกพื้นที่ในบ้านอีกด้วย

วิธีใช้ก็ไม่ยาก เพียงผสมน้ำยาซักผ้าในอัตราส่วน 1 : 100 จากนั้นใช้ผ้าซุบน้ำยาที่ผสมแล้วที่ผสมแล้วเช็ดบริเวณพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ทิ้งไว้สักพัก ก่อนเช็ดออกให้สะอาดอีกครั้งด้วยผ้าซุบน้ำ เพื่อความปลอดภัยควรสวมถุงมือทุกครั้งและไม่ควรใช้น้ำยาซักผ้าขาวกับพื้นผิวโลหะและวัสดุเคลือบสี

เพียงเท่านี้ทุกมุมในบ้านก็สะอาดได้อย่างมั่นใจในราคาสบายกระเป๋า



จาก : นิตยสาร HEALTH & COLSISNE

สมุนไพรแก้คัน

หมอเขาแนะนำว่าไม่ควรเกาเวลาที่เกิดอาการคัน เพราะยิ่งเกาก็ยิ่งกระจายทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น ทางที่ดีควรหายาแก้คันมาทาจะดีกว่าโดยอยู่ใกล้ตัวเรามีดังต่อไปนี้

ใบกระเพรา
กะเพราไม่ได้เกิดมาเพื่อเด้งดึ่งอยู่ในกระทะคู้กับ หมู น้ำปลา จนกลายเป็นผัดกระเพราเพียงอย่างเดียว เวลาเกิดอาการคัน ถ้าเราเอาใบกระเพราสดมาขยี้แรงๆ จนละเอียดตรงบริเวณที่คันก็จะหายไป แถมยังไม่มีตุ่มคันบวมหรือหนองขึ้นด้วย

พลู
วิธีใช้ใบพลูแก้คันทำไม่ยาก แค่เอาพลู 3-4 ใบไปตำจนได้น้ำออกมา เติมเหล้าขาวลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำแล้วยกขึ้นชด เอ๊ย! เอาไปทาแผล ไม่นานอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง

ขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่ดีต่อผิวหนังอยู่แล้ว สาวๆ โบราณเข้าถึงได้เอามาทาผิวให้สวยเนียนจนท่านเจ้าคุณอยากสัมผัสยังไงล่ะ และเวลาที่เกิดอาการคันถ้าเอาขมิ้นชันสดๆมาล้าง ตำให้ละเอียดแล้วเอามาทาที่แผลก้จะช่วยให้หายคันได้อีกด้วย

ไพล
คนไทยเราไม่นึกถึงไพลเฉพาะเวลาที่ถูกเฆี่ยน เวลาคันๆไพลก็มีประโยชน์เหมือนกัน วิธีใช้ก็คล้ายๆขมิ้นคือต้องเอาเหง้าไพลไปตำหรือบดละเอียดผสมกับน้ำ จะช่วยให้ผิวที่คันคะเยอปวดแสบปวดร้อยหายได้


ที่มา : นิตยาสาร Spicy

เรื่องขององุ่นแดง

องุ่นแดงมีสีตั้งแต่แดงเรื่อๆ จนแดงเข็มเหมือนกับดำ เช่นองุ่นพันธุ์ black pearl เป็นต้น สีแดงนั้นเป็นเม็ดสีและมีอยู่ที่ผิวองุ่นพันธุ์เท่านั้น และผิวองุ่นมีน้ำหนักเฉลี่ยเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล หากคั้นน้ำองุ่นแดงจะได้น้ำที่ปราศจากสีเจือปนสีแดงขององุ่นเป็นสารสีแอนโธชัยนิน ซึ่งเป็นกลุ่มสารฟินอลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและซะลอความแก่เป็นต้น องุ่นแดงที่ใช้ทำไวน์จะมีสารดังกล่าวอยู่ 1.0 ถึง 2.8 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่น ซึ่งสูงกว่าองุ่นแดงที่รับประทานสดที่มีอยู่เพียง 0.07 ถึง 0.15 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่นสดเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้รับสารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ครั้งต่อไปควรรับประทานองุ่นสีแดงเข้มและควรเคี้ยวเปลือกองุ่นให้แหลกเพื่อปลดปล่อยสารแอนโธชัยนินออกมาให้มากที่สุด

โครงการเผลแพร่ความรู้และผลงานวิชาการผ่านสื่อหนังสือพิมพ์
คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่



หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เคล็ดลับดับเมาค้าง

ผลลัพธ์จากการฉลองอาจทำให้หลายคนตื่นเช้า พร้อมกับอาการมึน เมาค้าง สมองไม่แจ่มใส จะทำอย่างไรให้เช้านั้นกลับมาสดชื่นพร้อมสู้งาน ลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้

กินไข่ตุ๋นหรือซุปไก่ร้อนๆ จะมีกรดแอมีโนที่ชื่อว่าซิสเทอีน (Cysteine) ที่นอกจากจะช่วยบรรเทาหวัดและลดอาการระคายคอแล้ว ยังออกฤทธิ์ลดอาการเมาค้างได้อย่างซะงัดนัก หรือจะเป็นกล้วยหอมปั่นผสมน้ำผึ้งที่มีโพแทสเซียมและน้ำตาลฟรักโทส ช่วยให้สมองสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่อย่าเผลอใส่น้ำผึ่งมากเกินไปจนหวานจัด เพราะจะทำให้ง่วงนอนได้

หากไม่มีเวลาเตรียม 2 เมนูด้านบน จะลองใช้วิธีพื้นฐานอย่างการกินผลไม้รสเปรี้ยวก้ได้ผลดีเช่นกันแต่ท่างออกที่ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองดื่มเพลินจนเกินไปจะดีกว่า

การแก้นอนกรน

เหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่การนอนกรนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้คู่สามีภรรยาทะเลาะกันบ้านแตกมาแล้ว เพราะเวลาพักผ่อนกลับไม่ได้หลับอย่างเต็มที่ ด้วยเสียงครืนคราดของคนข้างๆ ดังสนั่นอยู่ข้างรูหู ถ้าสองเสียงประสานกันก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าดังเดียวขอให้รีบแก้ไขทันที ซึ่งวิธีนี้คุณเคยผ่านมาตั้งแต่เกิดแล้ว นั่นคือการอมจุกยางของเด็กทารกไว้ในปาก วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของคุณอยู่นิ่ง ทำให้เนื้อเยื่อเพดานไม่กระเทือนสั่นไหว จึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากด้วยอาจจะเขินไปหน่อย แต่ลองดูเถอะ เพื่อสุขภาพของคนนอนข้างๆคุณ



ที่มา : นิตยสาร OHO

ดื่มแต่น้อย ดีต่อกระดูก


เครื่องดื่มแอลฮอล์มีผลเสียต่อหัวใจและนำไปสู่โรคมะเร็งได้หากมากเกินไป แต่การดื่มไม่เกินวันละ 2 แก้ว โดยเฉพาะไวน์และเบียร์จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผุ้สูงอายุได้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผู้สูงอายุได้ นักวิจัยจากมหาลัยทัฟท์สในบอสตันเปิดเผยว่า แอลกอฮอล์มีส่วนช่วยรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกในชายและหญิงสูงวัย แต่ไม่พบความเกี่ยวข้องใดในหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน โดยไวน์นั้นดีสำหรับผู้หญิง เพราะมีซิลิคอนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูก ทำให้กระดูกสันหลังและสะโพกแข็งแรงกว่าปกติ 5-8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเบียร์ดีสำหรับผู้ชาย เพราะอุดมไปด้วยพอลิฟีนอลที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และอาจช่วยไม่ให้กระดูกผุได้ 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเหล้านั้นไม่ดีกับใครเลย

ความรู้เกี่ยวกับกระดาษ


กระดาษทำจากใยพืชนำมาถักทอให้ติดกันเป็นแผ่น แต่ก่อนหน้านั้น 500 ปี ชาวไอยคุปต์ (อียิปต์โบราณ) ได้นำต้นกกมาทุบให้แบนแล้วนำเยื่อของต้นกกนี้ เรียกว่า ปาปิรุส ดังนั้น คำว่า “เปเปอร์” ซึ่งแปลว่ากระดาษ และมาจากคำว่า “ปาปิรุส”

แต่กระดาษในปัจจุบันนำก๊าซมาจากเยื่อของพืช แต่พืชที่ใช้ในปัจจุบันนิ้มมีเยื่ออ่อนนุ่มกว่า ได้แก่ ไม้จำพวกสน ไม้ทุกชนิดประกอบด้วยเซลลูโลสซึ่งเป็นสารอินทรีย์มีเส้นใยยาวประมาณ 2.5 มิลลิเมตร เส้นใยนี้เหนียงมาก เมื่อนำมาทำกระดาษจึงไม่ขากยุ่ยง่าย

ความหนาแน่นของใยพืชเป็นตัวกำหนดความทนทานของกระดาษ

โดยเฉลี่ยทุกปีประชาขนในอเมริกาใช้กระดาษคนละประมาณ 300 กิโลกรัม ครึ่งหนึ่งได้รับการแปรสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น นำกระดาษหนังสือพิมพ์ การะดาษชำระ และนำมาใช้ในงานที่ไม่ต้องอาศัยความประณีต ส่วนที่เหลือก็จะนำไปย่อยสลาย

เกร็ดน่ารู้

กระดาษที่ถูกทำให้เหนียวใช้บรรจุของเหลวได้ เช่น กล่องนม

กระดาษกรองใช้กรองฝุ่นผงในเครื่องจักร

ของตกแต่งบ้านจำพวกเฟอร์นิเจอร์ เช่น โคมไฟและวอลล์เปเปอร์ก็ทำมาจากกระดาษ

กระดาษมีความสำคัญต่อการสื่อสารทั้งการเขียนการพิมพ์

กระดาใช้ทำความสะอาดของเหลวได้ทุกชนิดทุกที่ตั้งแต่ในโรงงานอุตสาหกรรมไปจนถึงในบ้าน

กรรมวิธีในปัจจุบัน

ในการผลิตกระดาษสมัยใหม่ ชิ้นไม้จะนำถูกไปต้มให้ร้อนจัดรวมกับโซเดียมซัลเฟต จากนั้นจึงแยกสารที่เจือปนอยู่ เช่น ยางไม้และน้ำมันมะกอกเหลือแต่เยื่อยาวๆ และนำไปตากแห้ง ขั้นสุดท้ายนำเยื่อใม้อัดโดยใช้ลูกกลิ้งขนาดใหญ่ เราก็จะได้กระดาษเป็นแผ่น

1.ใช้เครื่องมือลอกเปลือกไม้ลอกเปลือกออกให้หมด

2.ใช้เครื่องบดไม้บดให้ละเอียด

3.ใส่น้ำและแยกเยื่อไม้ออกจากสารอื่นๆ

4.เมื่อเหลือแต่เยื่อแล้วก็สามารถจับตัวกันได้ดีขึ้น

5.ทำความสะอาดเยื่อและฟอกสีขาว

6.นำเยื่อที่ได้มาทำให้สะเด็ดน้ำ

7.ใช้ลูกกลิ้งความร้อนสูงอัดเยื่อไม้ให้กลายเป็นแผ่น

8.ได้แผ่นกระดาษที่สมบูรณ์

พริกไทยทำไมต้องจาม ???

พริกไทยกับเสียงจามเป็นเรื่องคู่กันเพราะในพริกไทยมีสารเคมีชื่อ “ไพเพอรีน” (piperine) เป็นตัวสร้างความระคายเคืองให้เส้นประสาทในช่องจมูกและปาก พอรู้สึกระคายเคืองร่างกายเราก็จะพลักดันเจ้าสารแปลกปลองนี้ออกไปด้วยการจามสนั่นหวั่นไหว

แต่ไช่ว่าไพเพอรีนจะเกิดมาเพื่อสร้างเสียงจามเพียงอย่างเดียวเจ้าสารตัวนี้มีดีตรงที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองป้องกันอัสไซเมอร์ได้ฉะนั้นคนที่กำลังคิดจะเลิกกินพริกไทยก็รีบๆ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน




ที่มา : นิตยสาร Spicy

ข้าวเก่า – ข้าวใหม่ สังเกตอย่างไร

คุณรู้ไหมว่า ข้าวที่กินอยู่ทุกวันเป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ทำไมข้าวชนิดเดียวกันบางครั้งหุงแล้วแข็ง บางครั้งนิ่ม กินกับอาหารนี้อร่อย กินกับอาหารนั้นไม่อร่อย ถ้าไม่สังเกตให้ดีลักษณะของข้าวเก่าและข้าวใหม่จะคล้ายคลึงกันมากแล้วจะรู้ได้อย่างไร ลองมาดูกัน

ข้าวเก่าคือข้าวที่เก็บไว้นานค้างปีหรือเก็บเกี่ยวมากกว่า 4 – 6 เดือน แล้วจึงค่อยนำมาขัดสี เมล็ดข้าวจะมีสีขาวขุ่น มีรอยแตกหักบ้างเล็กน้อย เมื่อนำไปชาวกับน้ำ น้ำจะขาวขุ่น มีรอยแตกหักจะขึ้นหม้อดี เมล็ดข้าวไม่เกาะติดกัน เพราะมียางข้าวน้อย และจะแข็งกว่าข้าวใหม่

ข้าวเก่าหุงรับประทานอาหารไทยอร่อยมาก เพราะอาหารไทยส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทแกง เมื่อรับประทานคู่กับข้าวเก่าที่แข็ง ข้าวจะไม่เละเคี้ยวมัน และเหมาะมาทำข้าวผัดหรือข้าวแซ่ เพราะเมล็ดข้าวร่วน

ข้าวใหม่คือข้าวที่เพิ่มเก็บเกี่ยวมาไม่นานแล้วนำมาขัดสี เมล็ดข้าวจึงมีสีขาวใส จมูกข้าวยังติดกับเมล็ดข้าวอยู่บ้าง เวลานำไปซาว น้ำซาวข้าวจะค่อนข้างใส หุงไม่ค่อยขึ้นหม้อ เมล็ดข้าวเกาะติดกันเป็นก้อนและค่อนข้างแฉะ เพราะมียางข้าวมาก แต่มีกลิ่นหอมกว่าข้าวเก่า นิยมนำมาทำเป็นข้าวต้มหรือโจ๊ก



ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE

น้ำผึ้ง ยาดีไม่มีขม

ใครว่าต้องขมเท่านั้นถึงจะเป็นยา น้ำผึ้งนี้ไว ทั้งเป้นยาสารพัดปรโยชน์แถมยังหลานเจี๊ยบไม่น้อยหน้าใครอีกเวย แต่น้ำผึ้งจากดอกไม้ต่างชนิดก็จะมีประโยชน์ต่างกันใครปลื้มแบบไหน เลือกได้ตามอัธยาศัย


น้ำผึ้งจากเกสรดอกลำใย

บำรุงเลือด บำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดี และนอนหลับสบาย

น้ำผึ้งจากเกสรดอกลิ้นจี่

ขับความร้อนในร่างกาย ใช้บรรเทาความร้อนจากแผลไฟลวก ขับลม แก้พิษ

น้ำผึ้งจากเกสรอบเชยป่า

ขับความร้อน กระตุ้นความยากอาหาร บำรุงม้าม บำรุงประสาท

น้ำผึ้งจากเกสรดอกส้ม

ลดอาการบวมอักเสบ ขับพิษ แก้กระหายน้ำ

ประโยชน์

น้ำผึ้งแท้มีน้ำตาลเด็กซ์โทสและฟรุคโทส ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการและมคุณสมบัติความเป็นยาสูง และยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี 2 วิตามินอี วิตามินเค วิตามินซีตามธรรมชาติ กรดอะมิโน กรดไขมัน เกลือแร่ สังกะสี และทองแดง ถ้าเอาไปผสมรวมกับสมุนไพรจึงกล่ยเป้นยาที่หลายชาตินิยมใช้

ในตำราจีนบันทึกไว้สรรพคุรของน้ำผึ้งไว้ว่าสามารถขับร้อน บำรุงกระเพราะอาหาร ม้าม ขับพิษ รักษาแผล ทำหชุ่มชื่นลดความแห้ง แก้ไอ และแก้ปวดได้

หมอในอเมริกาและแคนาดาให้คนป่วยทานขนมปังทาน้ำผึ้งผสมผงอบเชยทุกวัน เพื่อช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นปกติ

ในตำรายาของไทย น้ำผึ้งช่วยให้ร่างกายดูดซึมตัวยาได้เร็วกระตุ้นการทพงานของไต กระจายเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายทำให้มีกำลัง สำหรับผู้ชายที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศถ้าได้ทานน้ำผึ้งแท้วันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอนเป็นประจำทุกวัน อาการจะดีขึ้น

ถ้าได้อื่มน้ำผึ้งแท้ชงน้ำอุ่น ก่อนทานอาหาร 1-1 ½ ชั่วโมงจะยับยั้งไม่ให้กระเพราะหลั่งกรดออกมามากเกินไป เหมาะสำหรับหลังกรดออกมามากเกินไป เหมาสำหรับคนที่เป็นแผลในกระเพราะอาหาร แต่ถ้าชงกับน้ำเย็นจะกระตุ้นในกระเพราะอาหารหลั่งกรอมากขึ้น กระตุ้นการบีบตัวของลำใส้ แก้ปัญหาอาหารไม่ย่อยและท้องผูก

ไม่ควรดื่มน้ำผึ้งหลังอาหารทันที เพราะระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้กระเพราะหลังกรดมากเกินไป ถ้าจะดื่มต้องทานอาหารไปแล้วประมาณ 2 -3 ชั่วโมง

สาวๆ ที่นอนหลับยาก ถ้าได้น้ำผึ้งชงกับน้ำเปล่าก่อนอนสักแก้วจะช่วยให้หลับสบาย



ที่มา : นิตยสาร SPICY

ถ่ายรูปอย่างไรให้แจ่ม

เขาว่า ภาพหนึ่งภาพ อาจแทนคำบรรยายได้เป็นล้าน… และการถ่ายภาพที่ดีนั้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากกล้องราคาเรือนแสน เพราะทั้งกลายทั้งปวงนั้น มันขึ้นอยู่กับฝีมือ และมุมของผู้ถ่านภาพนั้นเอง ว่าจะถ่ายทอดสิ่งที่ตาเห็น มาเป็นภาพถ่ายได้อย่างไรตากหาก และถึงแม้การถ่ายภาพของคุณอาจจะไม่สามารถแทนคำบรรยายได้เป็นล้านคำ แต่คุณก็สามารถที่จะถ่ายภาพไห้มันดูดี มีสไตล์ไม่แพ้ใครๆ เช่นเดียวกันนะครับ ขอแค่มีเคล็ดลับซักนิด อย่างเช่น หากอยากเก็บภาพบรรยากาศสนุกสนานของการไปท่องเที่ยวกับแก๊งค์เกลอผู้รู้ใจ แทนที่จะให้เพื่อนๆ มานั่งโพสต์ท่าเป็นนายแบบนางแบบจำยอม (แต่คนดูอาจจะต้องจำทน) เราลองมาเปลี่ยนเป็นการแคนคิด หรือประมาณถ่ายทีเผลอดูกันบ้าง รับรองว่าจะได้ภาพในบรรยากาศสนุกๆ เป็นธรรมชาติ และขำๆ อีเพียบอย่าแน่นอน พอเวลางัดภาพขึ้นมาดูกันทีไร ต้องมีเรื่องให้ได้เมาส์เมามันและนึกถึงกันไม่จบไม่สิ้น

แต่อย่างหนึ่งที่คุณไม่ควรที่จะลืมก็คือ การจัดวางตำแหน่งขององค์ประกอบภาพต่างๆ ในภาพ เพราะอย่างน้อยหากเราสามารถจัดว่างสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม แม้จะเป็นภาพถ่ายแบบแคนคิด ก็จะเป็นการแคนคิดที่ดูดี และเหมือนมืออาชีพถ่ายได้เช่นกัน ง่ายๆหากกล้องของคุฯนั้นเป็นแบบที่มีเก้าช่อง ก็อย่าลืมวางออบเจ็กต์ หรือพระเอกนางเอกเอาไว้ของเรื่องด้วย ไว้ในส่วนที่อินเตอร์เซ็คกันของเส้น โดยให้อยู่ในโวนกลางๆ คือให้อยู่ภายในกรอบมีขอบบน และมีบอกล่างซะหน่อย ไม่เช่นนั้น ออบเจ็กต์ของเรา อาจจะไร้หัว ทำให้ภาพออกมานั้นไม่ได้สัดส่วน ไม่สวยงาม เอาแค่ง่ายๆแง่นี้ ก็พอจะช่วยให้ภาพที่เราถ่าย ดูมีความเหมาะสมลงตัวในแง่องค์ประกอบพื้นฐานแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น ก็คงต้องอาศัยประสบการณ์ของแต่ละคน แต่หากใครมั่นใจในลูกเล่นของตัวเองอยู่แล้วล่ะก็ แคนดินกันได้เลย

12 Tips ฝึกนิสัยการอ่าน ง่ายนิดเดียว!


12 Tips ฝึกนิสัยการอ่าน ง่ายนิดเดียว!
หลายๆ คนคงประสบปัญหาว่า มีหนังสือที่ซื้อมามากมาย แต่ยังอ่านไม่หมดซักที เพราะเวลาจะอ่านหนังสือแทบไม่มี บางคนก็ดองไว้นานจนลืมไปแล้วว่า เอ เคยซื้อเล่มนี้มาด้วยเหรอ??? พอยังอ่านเล่มที่มีไม่หมด หนังสือเล่มใหม่ที่น่าสนใจก็ออกมาอีกแล้ว จะทำยังไงดีนะ ?

1.วางแผนเรื่องเวลา วางแผนไว้เลยว่าเราจะอ่านหนังสืออย่างน้อยครั้งละ 5-10 นาที ทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านหนังสือระหว่างทานอาหาร ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน หรือเย็น (โดยเฉพาะเวลาที่ทานอาหารคนเดียว) รวมทั้งเวลานอน นั่นเท่ากับคุณมีเวลาถึง 4 ครั้งต่อวัน หรือเท่ากับ 40 นาทีต่อวันเลยทีเดียว

2.มีหนังสือไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ก่อนออกจากบ้าน ติดเอาหนังสือไปกับคุณด้วยสิ ไม่ว่าจะไปออฟฟิศ ไปเรียน นัดเจอเพื่อนซี้ ทำธุระที่ธนาคาร ไปหาหมอฟัน ฯลฯ เวลานั่งรอ ก็หยิบหนังสือออกมาอ่านได้เสมอ แถมทำให้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

3.จัดทำลิสต์รายการหนังสือ เก็บลิสต์รายการหนังสือดีๆ ทั้งหมดที่ต้องการจะอ่านเอาไว้ แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกประจำวันของเรา, ในสมุดโน้ต หรือในโฮมเพจส่วนตัวก็ได้ พออ่านเสร็จ ก็แค่ขีดฆ่าเล่มที่เราอ่านแล้ว เท่านี้ก็สามารถจัดการลำดับในการอ่านหนังสือได้อย่างง่ายดาย

4. เก็บบันทึกเหตุการณ์ เหมือนกับลิสต์รายการอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่การบันทึกแค่ชื่อหนังสือ และผู้แต่งหนังสือที่เราอ่านเท่านั้นนะ แต่รวมถึงวันที่เริ่มอ่าน และวันที่อ่านจบ และถ้าจะให้ดี บันทึกสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ด้วย เวลาย้อนกลับมาอ่านจะได้จำได้ไงล่ะ

5.ค้นหาสถานที่เงียบๆ ค้นหาสถานที่ในบ้าน ที่เราจะสามารถนั่งเก้าอี้ที่แสนสบาย (ไม่ใช่การนอนลงนะ เว้นว่าเราอยากจะนอนหลับ!!) และเอนตัวลงกับหนังสือดีๆ ได้ โดยปราศจากการรบกวนหรือขัดจังหวะ ซึ่งนั่นควรจะไม่มีโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ใกล้ๆ ที่จะทำให้ไขว้เขวไปได้ และต้องไม่มีเพลง หรือสมาชิกในครอบครัว, เพื่อนร่วมห้องที่ส่งเสียงดัง แต่ถ้าไม่มีสถานที่แบบนี้ ลองค้นหาให้เจอสิ อย่างเช่น ร้านกาแฟเล็กๆ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะที่เงียบๆ ลมเย็นๆ ก็ได้ …แค่นี้ก็ได้อ่านหนังสืออย่างมีความสุขแล้ว

6.ลดการดูทีวี หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ถ้าคุณต้องการอ่านหนังสือให้มากกว่านี้จริงๆ ลองตัดการบริโภคทีวีหรืออินเตอร์เน็ตลง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับหลายๆ คน แม้ในตอนนี้ คุณก็สามารถอ่านหนังสือแทนการเล่นอินเตอร์เน็ตนะ! แค่นี้ก็สามารถสรรสร้างช่วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือได้แล้ว

7.มีวันแห่งห้องสมุด ทำให้เป็นนิสัยในการเดินทางสำหรับทุกอาทิตย์ ด้วยการไปห้องสมุด นอกจากจะสามารถหยิบหนังสือของเราติดมือไปอ่านได้แบบเงียบๆ สบายๆ แล้ว ในนั้นยังมีหนังสือน่าอ่านตั้งมากมายรอให้เราไปค้นหา แทนที่จะไปเดินช้อปปิ้ง หรือนอนพักผ่อนเฉยๆ อยู่บ้าน ก็ไปห้องสมุด แล้วหาหนังสือถูกใจอ่านกันเถอะ เพราะนอกจากได้อ่านหนังสือในบรรยากาศเงียบๆ สมใจแล้ว ยังได้อ่านฟรีอีกต่างหาก…คุ้มแสนคุ้ม!

8.อ่านหนังสือที่สนุกๆ และกระตุ้นความสนใจได้ ค้นหาหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับคุณ แม้ว่าหนังสือพวกนั้นจะไม่ใช่วรรณกรรมระดับมาสเตอร์พีซ แต่ทำให้เราอยากอ่านมันได้ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ หลังจากนั้น เราก็สามารถเปลี่ยนไปอ่านอะไรที่มันยากขึ้นได้ แต่สำหรับตอนนี้ มุ่งไปสู่สิ่งที่ทำให้สนุก และสิ่งที่น่าสนใจดีกว่านะ อย่างนิยายโรแมนติกคอเมดี หรือ ซีรีส์สืบสวนหรรษา ที่เรียกเสียงฮาได้ตั้งแต่ต้นจนจบนั่นไง

9.ทำให้การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน ทำให้การอ่านหนังสือของเราเป็น ช่วงเวลาที่น่าโปรดปราน อย่างการจิบชาดีๆ หรือจิบกาแฟในช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ มีเก้าอี้ที่แสนสบาย หรือจะเลือกช่วงเวลาในการอ่านหนังสือระหว่างช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตก หรือไปนอนเอกเขนกที่ชายหาด ก็ย่อมจะช่วยสร้างบรรยากาศให้เราเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ

10.บันทึกเรื่องราวการอ่านหนังสือลงไปใน Blog เป็นอีกหนึ่งในเคล็ดลับที่ดีที่สุดที่จะ สร้างนิสัยในการอ่าน คือการบันทึกเรื่องราวลงใน Blog ของเรา จะเป็น Hi5, Facebook, Multiply หรืออะไรก็แล้วแต่ นอกจากจะสามารถอธิบายความคิดของเราเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ได้แล้ว คนอื่นๆ ยังสามารถให้คำแนะนำเราเกี่ยวกับหนังสือ และแสดงความคิดเห็นในหนังสือบางเล่มที่เรากำลังอ่านได้อีกด้วย

11.วางแผนเป้าหมายสูงสุด บอกตัวเองว่า เราต้องการอ่านหนังสือจำนวน 50 เล่มในปีนี้!! (หรือตัวเลขอื่นๆ ประมาณนั้น) หลังจากนั้น วางแผนที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ แต่ต้องแน่ใจว่าเราจะยังคงสนุกกับการอ่านอยู่ ไม่ต้องรีบเร่ง เพราะเป้าหมายจริงๆ ของเราก็คือ การอ่านหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ให้หมดนี่นา…

12.มีชั่วโมงการอ่าน หรือวันแห่งการอ่าน ถ้าปิดทีวี หรืออินเตอร์เน็ตตอนเย็นๆ เราก็สามารถวางแผนเวลา (บางทีแค่หลังทานข้าวเย็น) เมื่อเราและสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดอยู่ด้วยกัน ถ้าทำให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมกับเราได้ในการอ่านหนังสือได้ ก็จะสนุกสุดๆ ไปเลย!!!



http://www.lifehack.org

ลักษณะพิเศษของ คริสตัล 5 ประการ

ผมจะกล่าวถึงลักษณะพิเศษ ที่สำคัญของคริสตัล 5 ประการ นั้นคือ


1.เก็บความจำ

คริสตัลเมื่อยู่ภายใต้แรงกดดันจะเกิดประกายไฟที่แตกต่าง ประจุไฟฟ้าบวกและลบ สามารถแทนด้วยเลขฐานสอง คือ 0 และ 1 ซึ่งเป็นทฤษฎีการคำนวณขั้นพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ การเรียงตัวอย่างมีหลักเกณฑ์ของอนุภาคคริสตัล จึงทำให้แผ่นคริสตัลเก็บสัญญาณและความจำได้ในปริมาณมหาศาล

2.ขยาย

ผลการสั่นสะเทือนที่ผ่านแผ่นคริสตัลบางเฉียบ สามารถขยายสัญญาณไฟฟ้าที่อ่อนเบาและรักษาความถี่เดิมไว้ได้ เครื่องรับวิทยุและไมโครโฟนก็คือตัวอย่างการใช้ทฤษฎีดังกล่าว

3.แปลง

คริสตัลคือตัวกลางที่ดีที่สุกสำหรับการแปลงพลังงานในรูปแบบต่างๆได้แก่ เสียง แสง ไฟฟ้า ความร้อน สนามแม่เหล็ก ฯลฯ ตัวอย่างเช่น แผ่นคริสตัลที่รวมความร้อน สามารถแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าได้

4.ถ่ายส่ง

คลื่นความถี่จากการสั่นสะเทือนของแผ่นคริสตัล มีกฎเกณฑ์และความแม่นยำสูง จึงมักใช้เป็นอุปกรณ์คำนสณเวลาในนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ได้ และใช้ทำอุปกรณ์สื่อสารกลางสำหรับถ่ายส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ดี

5.รวมแสง

แผ่นคริสตัลที่มีผิวกระจกเว้าหรือนูน สามารถรวมแสงอาทิตย์เป็นจุดเดียวจนเกิดความร้อนสูง ดังจะเห็นได้ว่าทฤษฎีของแสงเลเซอร์ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ใช้ลักษณะพิเศษของก้อนคริสตัลเพื่อกระตุ้นให้เกิดลำแสงพลังงานอันแรงกล้า เพื่อนำไปใช้ในการผ่าตัดด้านจักษุวิทยาที่ต้องการความแม่นยำสูง




ขอขอบคุณ นิตยสาร BE Well

เรื่องของก๊าซ

ชาวจีนโบราณเป็นชาติแรกที่เริ่มนำก๊าซเข้ามาใช้เมื่อหลายพันปีก่อน ที่พวกเขานำก๊าซธรรมชาติมาใช้โดยการระเหยน้ำทะเลออกเพื่อให้ได้เกลือ กระทั่งในต้น พ.ศ. 2343 ผู้สำรวจแหล่งน้ำมันในอเมริกาได้เริ่มกาแหล่งทรัพยากรอื่นๆ จนพบก๊าซธรรมชาติ และจากนั้นได้มีการวางท่อส่งก๊าซเพื่อนำก๊าซส่งไปประเทศของตน ส่วนอังกฤษนั้นเพิ่งจะเริ่มมีการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติในปี พ.ศ. 2473

ก๊าซที่เรานำมาใช้หุงต้มและให้ความร้อนในทุกวันนี้คือพลังงานเชื้อเพลิงที่อยู่ในรูปของฟอสซิลซึ่งประกอบไปด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก ตามปกติแล้วเรานำก๊าซมาใช้งานในบ้านเราและทางอุตสาหกรรมโดยผ่านท่อส่งก๊าซ

ก๊าซเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์มาก เนื่องจากมันจะให้ความร้อนเมื่อถูกเผาไหม้ จึงถูกนำมาใช้ในบ้านเรือนสำหรับการหุงต้มทำอาหารและใช้ในงานอุตสาหกรรมนานาชนิดเพื่อเชื่อมถลุงเหล็ก

ก๊าซในประเทศที่พบส่วนใหญ่จะพบตามชั้นใต้ดิน บ่อยครั้งที่พบก๊าซธรรมชาติอยู่ปนกับถ่านหินและน้ำมัน แต่บางครั้งพบเฉพาะก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเช่นเดียวกับน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเกินจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์เหล่านี้ก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนและคาร์บอนจำนวนมากซึ่งต่อมาจะเปลี่ยนรูปก๊าซไฮโดรคาร์บอนหรือที่เยกว่าก๊าซมีเทน
ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ค้นพบได้ในทะเล จึงต้องมีการวางท่อส่งก๊าซลงไปในทะเลแล้วต่อท่อมายังสถานีรับก๊าซบนภาคพื้นดิน แต่ในบางครั้งจะทำให้ก๊าซกลายเป็นของเหลวก่อนจึงบรรทุกใส่เรือมา ในก๊าซธรรมชาติจะมีสารบางชนิดที่ไม่ต้องการปะปนมา ซึ่งสารเหล่านี้จะถูกนำมาแยกอีกครั้งที่สถานีส่งก๊าซ

ก๊าซเป็นสารที่ไม่กลิ่น ดังนั้นขณะนำก๊าซมาแยกสารที่ไม่ต้องการออกอาจเกิดการรั่วไหลของก๊าซได้โดยไม่สามารถสังเกตเห็น ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้สารเคมีเติมกลิ่นลงไปยังก๊าซด้วย

การขุดเจาะก๊าซ

ตามปกติแล้ว เราจะพบก๊าซในชั้นใต้ดินซึ่งอยู่ลึกลงไปหลายเมตร มักพบในชั้นหิน เช่น หินทราย ชั้นหินที่มีความแข็งเหล่านั้นห่อหุ้มก๊าซเหล่านั้นห่อหุ้มก๊าซไว้ทำให้การนำก๊าซมาใช้ต้องทำการขุดเจาะโดยบริษัทน้ำมัน

ข้อมูลน่ารู้

ก๊าซที่ถูกบรรทุกมาโดยเรือจะถูกทำให้เป็นของเหลวเสียก่อนซึ่งประหยัดเนื้อที่บรรทุกกว่าขณะที่เป็นก๊าซ

ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ ได้แก่ รัสเซียและสหรัฐอเมริกา

ก่อน พ.ศ. 2473 ก๊าซที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มาจากถ่านหิน

ซากพื้ชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพังก่อให้เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเคยนำมาให้เป็นพลังงานให้กับกังหันลมไฟฟ้า

คุณสมบัติของจุลินทรีย์โปรไบโอติก (Probiotics Characteristics)

โปรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของมนุษย์และสัตว์ซึ่งจะส่งเสริมสุขภาพของเจ้าบ้าน (host) ให้ดีขึ้น ดังนั้นการที่โปรไบโอติกจะสามารถผ่านลงไปในลำไส้และเจริญเพื่อส่งเสริมสุขภาพของเจ้าบ้านให้ดีขึ้นได้นั้นต้องมีคุณสมบัติหลายประการ เพื่อสามารถทนต่อสภาวะที่รุนแรงในทางเดินอาหารส่วนบนได้ เช่น

- โปรไปโอติกต้องสามารถทนต่อสภาวะกรดในกระเพราะอาหารได้ดี เนื่องจากกระเพราะอาหารจะมีพีเอชอยู่ในช่วง 1-3 ซึ่งเกิดจากร่างกายหลังกรดไฮโดรคลอริกออกมาเพื่อช่วยย่อยอาหาร

- โปรไบโอติกต้องสามารถทนต่อเกลือน้ำได้ดี เนื่องจากบริเวณลำไส้เล็กตอนต้นจะมีเกลือน้ำดีหลั่งออกมาจากตับอ่อน เพื่อเข้ามาช่วยย่อยไขมัน

- โปรไบโอติกต้องสามารถยึดเกาะผนังลำไส้ได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียก่อโรคเข้ามาเกาะและต่อต้านการเคลื่อนที่ของลำไส้ที่มีการบีบตัวให้อาหารเครื่องที่แบบลูกคลื่น (pcristalsis)

- ส่งเสริมสุขภาพของเจ้าของบ้านได้ดีขึ้น เช่น ช่วยย่อยน้ำตาลแลกโตสในนมป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องเสียเนื่องจากการรับประทานนม ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำใส้และป้องกันการเจริญของแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหาร ช่วยป้องกันการเกิดท้องเสีย ท้องร่วง แย่งหารแบคทีเรียก่อโรค ทำให้ไม่มีอาหารเพียงพอต่อการเจริญของแบคที่เรียก่อโรค สร้างสารต่างๆ ขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื่อก่อโรคไม่ให้มีมากเกินไป กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลดระดับคอเลสเตอรอล เป็นต้น



ที่มา เดลินิวส์

ความแตกต่างตะเข้ กับ ตะโขง



จากมีกรณีที่มีการรายงานข่าวว่ามีนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเล่นน้ำตกที่เหวสุวัต ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แล้วพบจระเข้ขนาดใหญ่มาก ซึ่งกำลังนอนผึ่งแดดอยู่ อีกทั้งยังมีการระบุว่าบริเวณดังกล่าวเคยเจอตะโขง จึงเกิดข้อสงสัยว่าจระเข้ กับ ตะโขง เป็นจระเข้เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒

จระเข้ คือ (จอระ-) น. ชื่อสัตย์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในวงศ์ Crocodylidae อาศัยบริเวณป่าริมน้ำ หนังเป็นเกล็ดแข็ง ปากยาวและปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูกเรียกว่า ก้อนขี้หมา หางแบนยาวใช้โบกว่ายน้ำมักหากินในน้ำ ในประเทศมี ๓ ชนิดคือ

๑. จระเข้บึง จระเข้น้ำจืด หรือจระเข้สยาม (Crocodylus siamensis)

๒. จระเข้อ้ายเคี่ยว หรือ จระเข้น้ำเค็ม (C.porosus)

๓. จระเข้ปากกนะทุ้งเหว หรือ ตะโขง (Tomistoma Schlegelii) จระเข้นี้บางทีก็เรียกว่า ตะเข้ หรืออ้ายเข้ อีสารเรียกแข้,ปักษ์เรียก เข้

ตะโขง คือ ชื่อจระเข้ชนิด Tomistoma schlegelii ในวงศ์ Crocodylidae มีขนาดใหญ่มาก ขนาดยาวได้ถึง ๔.๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดงมีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากเรียวยาวคล้ายปากปลาเข็ม หากแบนใหญ่ใช้ว่ายน้ำอาศัยตามป่าชายเลนน้ำกร่อย ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคใต้เท่านั้น จระเข้ปากกระทุงเหว ก็เรียกแล้วแต่

แต่ไม่ว่าจระเข้ที่พบในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะเป็นจะเข้น้ำจืดหรือตะโขงก็ตาม นักท่องเที่ยวที่นิยมท่องเที่ยวธรรมชาติทุกท่านควรต้องระสักระวังและปฏิบัติตนตามคำเตือนบนป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาไทยที่ว่า “โปรดระวังจระเข้” และภาษาอังกฤษที่ว่า “BEWARE CROCODILE” อย่างเคร่งครัด


ภัยเงียบ..! ภัยร้าย..! ป้องกันได้ ไวรัสตับอักเสบ ซี

ในปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆพัฒนาตามการพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์และการพัฒนาก็ทำให้ค้นพบโรคใหม่ๆ (ที่มีมาก่อนนานแล้วและพัฒนาขึ้นมาใหม่) และยังมีโรคอีกจำนวนมากที่คนไม่สามารถล่วงรู้เงื่อนงำของมันได้

ไวรัสชนิดนี้ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2532 นี่เอง โดยแพทย์ชาวสหัฐอเมริกา เป็นไวรัสตัวอักเสบที่ติอต่อได้ทางเลือดและเป็นอาร์เอ็นเอไวรัส สายเดี่ยว ขนาดเล็ก พลตรีนายแพทย์อนุชิต จูฑะพุทธิ เลขาธิการมูลนิธิโรคตับแห่งประเทศไทยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงไวรัสตับอักเสบซี ว่า
ไวรัสตับักเสบ ซี มีความสำคัญแค่ไหน
องค์การอนามัยโลกได้ประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เรื่อรังราว 170 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยเราพบโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 – 2 โดยพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าภาคอื่น ไวรัสตับอีกเสบ ซี นี้มีสำคัญไม่ด้ยกว่าไวรัสตับอักเสบ บี ได้พบมานานแล้ว และมีการฉีดวัคซีนป้องกันได้กว้างขวาง ทำให้การควบคุมประสบสำเร็จสูง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้ลัยังไม่พบว่ามีแนวโน้มที่จะค้นพบในเวลาอันใกล้นี้

ผู้ป่วยจากอาการไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อนังเกือบทุกรายจะมีอาการอักเสบของตับ และทำให้ตับส่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังส่วนใหญ่ไม่มีอาการอักเสบของตับ โดยพบเพียงร้อยละ 15 – 25 เท่านั้นที่มีอาการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง

ใครคือผู้ที่เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบ ซี

1. ผู้ที่มีประวัติได้รับเลือด หรือส่วนประกอบจากเลือดเช่น พลาสมา (น้ำเลือด) หรือเกล็ด ที่อาจเกิดจากการเสียเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือดก่อนการค้นพอไวรัสตับอักเสบ ซี

2. ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด

3. การสัก การเจาะตามร่างกาย สักคิ้ว ไม่ใช้ของมีคมที่สัมผัสผิวหนังรวมกัน เช่น มีดโอน กรรไกรตัดเล็บแปลงสีฝัน ฯลฯ

4. กลุ่มผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการฟอกไตมาเป็นเวลานาน

5. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดจากแม่ไปสู่ลูก(พบได้น้อยมาก)

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกายจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัว 6-8 สัปดาห์ จึงเริ่มมีอาการตับอักเสบ จะมีผู้ป่วยประมาณ10 -15 เปอรืเซ็นต์ ที่มีอาการตัวและนัย์ตาเหลือง หรือเป็นดีซาน มีอาการคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก รู้สึกเบื่ออาหาร คลื่อนไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยเองส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยที่ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกายตลอดเวลา และจะมีอาการอักเสบของตับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ของผู้ป่วยถึงร้อยละ 85 และมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยแค่ร้อยละ 15 ที่อาจจัดการไวรัสได้หมดผู้ป่วยร้อยละ 20.30 จะเกิดอาการตับแข็งหลังจากได้รับเชื้อแล้ว 20 ปี

ปัจจัยที่กระตุ้นให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ได้รับเชื้อตอนที่อายุมากแล้ว ติดเชื้อจาการได้รับเลือด ดื่มเหล้า

อาการที่เกิดจากตับแข็ง

1. เมื่อตับไม่สามารถสร้างสารอาหารพลังงานและทำลายสารพิษต่างๆ ได้ตามปกติ มีผลให้อ่อนเพลียเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลื่นไส้ เท้าบวม บางรายมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน) ตัวเหลือง ผิวแห้ง คันตามตัว หรือมีจ้ำเลือดง่าย ไวต่อสารพิษมาก ป่วยหรือติดเชื้อโรคง่ายถ้าเป็นมากตับจะหยุดทำงาน

2. มีพังผืดหรือแผลในตับมากขึ้น จะอาการอาเจียนเป็นเลือด จากภาวะหลอดเลือดป่งพองในหลอดอาการมีอาหารม้ามโต เพราะเลือดจากม้ามไหลกลับไปสู่ตับได้ช้าลง ถ้าม้ามโตมากๆ จะเกิดอาการกินเม็ดเลือด ทำให้ซีดหรือเกล้ดเลือดต่ำ

หลังจากผู้ป่วยเป็นตับแข็งแล้ว อาการจุรุนแรงมากขึ้นและจะทรุดลงตามลำดับ และจะมีโอกาศเสียชีวิตได้สูงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง เช่น อาเจียนเป็นเลือด จะมีอาการติดเชื้อรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อในช่องท้องภาวะตับวาย และผู้ที่เป็นตับแข็งนี้ยังมีโอกาศเป็นมะเร็งตับได้สูงร้อยละ 2 -4 ต่อปี

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี

ส่วนใหญ่นั้นจะรู้ว่าเป็นโดยบังเอิญ เช่น จากการตรวจร่างกายประจำปี การบริจากเลือด เมื่อตรวจพบว่าตับทำงานผิดปกติ แพทย์จะตรวจว่าเป็นเพราะอะไร ในผู้ป่วยบางรายอาจได้รับวัรัสในระยะที่เกิดตับแข็งแล้ว หรือโรคเป็นมะเร็งจากตับแข็ง เช่น ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด หรือเป็นมะเร็งตับแล้ว ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจตับและหาไวรัสตับต่างๆ

การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตักเสบ ซี ทางที่ดีจึงเป็นการป้องกันเป็นหลัก โดนหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

การตรวจหาผู้ป่วย

เพราะระยะแรกของโรคนั้นไม่แสดงอาการ จึงต้องตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และถ้าจำได้ว่าเคยดัรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดก่อนปี 2533 ผู้ที่สำส่อนทางเพศ พวกที่ชอบสัก เจาะเนื้อตัวทั้งหลาย ให้ไปตรวจร่างกายไว้ก่อนได้เลยและถ้าพบว่าการทำงานของตับผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้ทัน

การตรวจวินิจฉัยว่าคุณเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี อาจทำได้ 2 วิธี

1. การตรวจจากน้ำเหลือง คือ การตรวจแอนติบอดี้ต่อไวรัสตับอักเสบ ซี

2. ตรวจกาโดยตรงจากการตรวจหาอาร์เอ็นเอ ของไวรัส

สำหรับการตรวจสายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบ ซี พบว่าสายพันธุ์ของมันมีความสัมพันธุ์อย่างมากกับความสำเร็จของการรักษา โดยพบว่า ไวรัสตับอักเสบ ซี อาจบ่งได้ 6 สายพันธุ์หลัก และมีสายพันธุ์ที่ง่ายต่อการักษาเพียง 5-6 เดือนก็หายได้แล้ว

เมื่อป่วยต้องทำอย่างไรดี

1. ไม่เป็นผู้แพร่เชื้อ ไม่ให้เลือด ไม่เจาะ ไม่สัก ไม่ใช้ ของที่ปนเปื้อนของเหลวกับคนอื่น การร่วมเพศก็ต้องสวมถุงยางอนามัย แล้วทำการรักษาให้หายขาด

2. ดูแลเรื่องอาการการกินให้สะอาด ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่เลย

3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ทำอันตรายต่อตับ ต้องแจ้งแพทย์ให้รู้ ไม่ควรใช้สมุนไพรบางอย่าง เช่น ใบขี้เหล็ก บอระเพ็ด เพราะพบว่าอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้

4. ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อการรักษาและประเมินการทำงานของตับทุก 3 – 6 เดือน หรือกว่านี้ตามอาการ

การรักษา

เป้าหมายคือ ทำให้ไวรัสตับอักเสบ ซี ตัวนี้หมดไปจากร่างกาย ตับก็จะค่อยๆ คืนความปกติ ยาที่ใช้ในการรักษาได้ผลดี 2 ตัวที่ขอแนะนำ และไม่เป็นอีกหลังหยุดยาคือการให้ยา 2 ตัวร่วมกันเป็นยาฉีดในกลุ่มอินเตอร์เฟอรอนกับยากิน ไรบาไวริน

อินเตอร์เฟอรอน คือ

เป็นโปรตีน สามารถผลิตได้โดยภูมิต้านทานของเราในปริมาณจำกัด จะทำการต่อต้านหรือกำจัดไวรัสตับอักเสบ ซี การออกฤทธิ์โดยทั่วไปจะไปเสริมให้การทำลายไวรัสบางชนิดรวมถึงไวรัสตับอักเสบ บี และซี เสริมการทำงานของภูมิต้านทาน ปัจจุบันได้พัฒนายาชนิดนี้เป็น เพ็คกิเลตเตดอินเตอร์เฟอรอน ที่มีปะสิธิภาพการักษาที่สูงกว่าการออกฤทธิ์และยาวนานขึ้น มีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ไรบาไวริน คือ

เป็นยาที่มีโครงสร้างคล้ายนิวคลีโอไซด์ เป็นสารในการสร้างอาร์เอ็นเอ หรือดีเอ็นเอของไวรัส

ปัจจุบันมาตรฐานการักษานั้น โดยการใช้ยาเพ็คกิเกตเตด อินเตอร์เฟอรอน ร่วมกับไรบาไวรินเป็นเวลา 24 สัปดาห์ในกรณีไม่ใช่ไวรัสสายพันธุ์ที่ 1 และถ้าเป็นสายพันธุ์ที่ 1 จะใช้ประมาณ 48 สัปดาห์ ก็หาย

ภัยเงียบ! ภัยร้าย! ป้องกันได้ วรัสตับอักเสบ ซี แม้จะไม่ทำลายร่างกายโดยเฉียบพลัน แต่ปล่อยไว้ก็ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต


บทความ : พลตรีนายแพทย์ อนุชิต จูฑะพุทธิ

จาก : นิตยสาร alternative health