วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

LED กับ LCD เทคโนโลยีจอภาพ

เวลาเดินในห้างผ่านโซนไอที ทุกท่านจะเห็นกับจอทีวีหลากหลาย จอเล็กบ้างใหญ่บ้าง บางจอภาพมันคมชัดมากๆ เมื่อเข้าไปดูตรงรายละเอียดก็พบคำว่า LEDหรือไม่ก็ LCD ซึ่งเจ้าคำสองคำนี้ที่ทำให้น้ำใสติดใจว่ามันคืออะไร ทำไมจอถึงได้ดูคมชัดสมจริงแบบนี้ วันนี้บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจกัน

ยุคนี้ถือเป็นยุคของแอลซีดีเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมอนิเตอร์หรือทีวีก็ตามด้วยราคาที่แสนเร้าใจ แถมยังคุณภาพของภาพที่ได้ก็ดีขึ้นมากใกล้เคียงจอแบบ CRT เข้าไปทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอแอลอีดี – แอลซีดี เริ่มมีมาให้เห็นกันมากขึ้น แต่คงยังมีความสับสนอยู่ไม่น้อยกับจอภาพแอลอีดี-แอลซีดีที่เข้ามาจำหน่ายอยู่ในเวลานี้ แท้จริงแล้วคืออะไร เป็นแบบไหนกันแน่หาคำตอบให้หายสงสัยจากบทความนี้เลยครับ

แอลอีดี (LED) – แอลซีดี(LCD)

ยังมีความสับสนกันไม่น้อยสำหรับจอภาพแอลอีดี LED ย่อมาจาก Light-emitting-diod ที่มีออกมาจำหน่ายในเวลานี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคำโฆษณาของผู้ผลิต ทำให้ผู้ใช้เข้าใจไปว่ามันคือจอภาพแบบใหม่ เป็นเทคโนโลยีใหม่ แท้จริงแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นจอภาพที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ เป็นยุคถัดไปที่จะมาแทนที่แอลซีดี เรียกว่าจอภาพแบบโอแอลอีดี(OLED) จะใช้หลอดแอลอีดีมาเรียงรายกันบนพาแนลแล้วทำให้เกิดภาพด้วยการติด – ดับของหลอดแอลซีดีซึ่งก็ได้ภาพที่ตาเรามองเห็นออกมา ซึ่งในเวลานี้มันยังมีราคาที่สูงเอามากๆ มีแต่ตัวต้นแบบออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง ด้วยต้นทุนที่สูงอยู่ทำให้ยังไม่สามารถผลิตออกมาเพื่อจำหน่วยได้จริง รวมไปถึงยังพัฒนาไปได้ไม่เต็มที่นัก เพราะยังไม่สามารถผลิตจอภาพโอแอลอีดีที่มีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งคุณภาพที่ได้เทียบกับจอแอลซีดีรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนามาเยอะแล้ว ภาพของแอลซีดียังถือว่าทำได้ดีกว่า และยิ่งเทียบกับราคาต่อขนาดกันแล้ว ในเวลานี้จอ LED เริ่มออกมาสู่ท้องตลาดแล้ว ภาพที่ได้ก็ให้ความรู้สึกที่ดูแล้วสบายตา สมจริงมากๆ เราได้เห็นจอภาพแบบโอแอลดอีดีตัวแท้ๆ ออกมาจำหน่ายแต่ก็ยังไม่กล้าคิดถึงราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่มากๆ



จอ LED จอ LCD

ได้ทำความรู้จักกับจอภาพที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ จอภาพแบบโอแอลอีดีกันบ้างไปแล้ว คราวนี้เรามาเรื่องจอแอลอีดีซึ่งเป็นหัวข้อหลักของเราในบทความนี้กันต่อ สำหรับจอแอลอีดีซึ่งเป็นหัวข้อหลักของเราในบทความนี้กันต่อ สำหรับจอแอลอีดีที่จำหน่ายกันอยู่เวลานี้ เรียกว่าอยู่ในกระแสที่คนกำลังให้ความสนใจกันไม่น้อยทีเดียว แท้จริงแล้วมีนก็คือจอภาพแบบแอลซีดีที่เราใช้กันอยู่ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนการทำงานภายใน งานนี้ต้องนึกไปถึงการทำงานของจอแอลซีดีกันเล็กน้อย โดยโครงการสร้างภาพของแอลซีดีจะใช้การเปลี่ยนแปลงของเหลวที่อยู่ภายใน ซึ่งทำปฏิกิริยาแบบผกผันลันกับอุณหภูมิซึ่งไม่ควนเอาโน้ตบุ๊กไว้ในรถนะครับ แล้วใช้การยิงลำแสงผ่านจากด้านหลังพาแนลที่เรียกกันว่าแบ็กไลต์ (Backlit เป็นคนละแบบกับแสงแบ็กไลต์ที่จสะท้อนแสงในที่มืด) ซึ่งเป็นสีขาวโดยใช้หลอดฟลูออเรศเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นภาพที่ตาเราสองเห็นได้ แท้จริงแล้วก็เหมือนเราดู “เงา” ของผลึกเหลวในขณะทำงาน เพราะจอภาพแอลซีดีไม่สามารถกำเนิดแสงได้ด้วยตนเองจึงต้องใช้การยิงแสงแบ็กไลต์(Backlit) นั้นเอง ซึ่งตรงจุดนี้ล่ะแบ็กไลต์จากเดิมซึ่งใช้เป็นหลอดไฟฟลูออเรสเซนแบบเย็น (CCFL : Clod Cathohe) มาใช้เป็นหลอดแอลอีดีแทน และยังเป็นการใช้หลอดแอลอีดีถึงสามสีประกอบด้วยแม่สี แดง เขียว น้ำเงิน (RGB)

แอลอีดี อีกระดับของภาพจากจอภาพแอลซีดี

การเปลี่ยนมาใช้ไปแบ็กไลต์เป็นหลอดแอลอีดี มีผลดีตามมาหลายด้านพอตัวครับ โดยเฉพาะเรื่องของภาพที่มันช่วยเพิ่ม Contrast ให้กับภาพที่แสดงผลออกมา จึงแสดงรายละเอียดต่างๆ ของภาพได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในฉากที่แสดงผลออกมา จึงแสดงรายละเอียดต่างๆของภาพให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในฉากที่มีภาพมืดหรือฉากที่มีระดับความสว่างของวัตถุอยู่หลายระดับ แสดงผลสีดำได้ลึกและดูมีมิติมากขึ้น ลบข้อด้อยในการแสดงผลสีดำที่ติดตัวจอภาพแอลซีดีมาช้านานนั้นลงไปใกล้เคียงภาพจากจอพลาสมาที่แสดงผลสีดำได้อย่างยอดเยี่ยมเข้าไปทุกที ช่วยให้แอลซีดีพาแนลสามารถแสดงสีสันได้ดีขึ้น (wider clolor gamut) ทำให้ภาพดูเป็นธรรมาชาติ นอกจากข้อดีในเรื่องของภาพที่ดีขึ้นแล้วยังได้ในเรื่องของดีไซน์ด้วยเพราะจอภาพมีขนาดบางลง ความร้อนในขณะจอทำงานลดลงและประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ด้วยข้อดีหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็เลยทำให้จอแอลอีดีดูน่าซื้อมาใช้เป็นที่สุด

จอ LCD คืออะไร ?

เทคโนโลยีมอนิเตอร์ LCD ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอแสดงผลแบบ (Digital ) โดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเ:ซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น

เทคโนโลยีที่พัฒนามาใช้กับ LCD นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  • Passive Matrix หรือที่เรียกว่า Super-Twisted Nematic (STN) เป็นเทคโนโลยีแบบเก่าที่ให้ความคมชัดและความสว่างน้อยกว่า ใช้ในจอโทรศัพท์มือถือทั่วไปหรือจอ Palm ขาวดำเป็นส่วนใหญ่
  • Active Matrix หรือที่เรียกว่า Thin Film Transistors (TFT) สามารถแสดงภาพได้คมชัดและสว่างกว่าแบบแรก ใช้ในจอมอนิเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ก

TN + Film (Twisted Nematic + Film)
Twisted Nematic (TN) คือสารประเภทนี้จะมีการจัดโครงสร้างโมเลกุลเป็นเกลียว แต่ถ้าเราผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปมันก็จะคลายตัวออกเป็นเส้นตรง เราใช้ปรากฏการณ์นี้เป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงผ่านได้หรือไม่ได้ Twisted Nematic (TN) ผลึกเหลวชนิดนี้จะให้เราสามารถเปลี่ยนทิศทางการสั่นของคลื่นแสงได้ 90? ถึง 150? คือเปลี่ยนจากแนวตั้งให้กลายเป็นแนวนอน หรือเปลี่ยนกลับกันจากแนวนอนให้เป็นแนวตั้งก็ได้ ด้วยจุดนี้เองทำให้การค่า Response Time (ค่าตอบสนองสัญญาณเทียบกับเวลา) มีค่าสูง

IPS (In-Plane Switching or Super-TFT)
การจัดโครงสร้างของผลึกจากเดิมที่วางไว้ตามแนวขนานกับแนวตั้ง (เทียบกับระนาบ) เปลี่ยนมาเป็นวางตามแนวขนานกับระนาบ เรียกจอชนิดนี้ว่า IPS (In-Plane Switching or Super-TFT) จากเดิมขั้วไฟฟ้าจะอยู่คนละด้านของผลึกเหลวแต่แบบนี้จะอยู่ด้านเดียวกันแปะหัวท้ายเพราะย้ายแนวของผลึกให้ตั้งขึ้น (เมื่อมองจากมุมมองของคนดูจอ) เป้าหมายเพื่อออกแบบมาแก้ไขการที่มุมของผลึกเหลวจะเปลี่ยนไปเมื่อมันอยู่ห่างจากขั้วไฟฟ้าออกไป ปัญหานี้ทำให้จอมีมุมมองที่แคบมาก จอชนิด IPS จึงทำให้สามารถมีมุมมองที่กว้างขึ้น แต่ข้อเสียของจอชนิดนี้ก็คือ ต้องใช้ทรานซิสเตอร์สองตัวต่อหนึ่งจุดทำให้เปลืองมาก นอกจานั้นการที่มีทรานซิสเตอร์เยอะกว่าเดิมทำให้แสงจากด้านหลังผ่านได้น้อยลง ทำให้ต้องมี Backlite ที่สว่างกว่าเดิม ความสิ้นเปลืองก็มากขึ้นอีกด้วย

MVA (Multi-Domain Vertical Alignment)
บริษัท Fujisu ค้นพบผลึกเหลวชนิดใหม่ที่ให้คุณสมบัติ คือทำงานในแนวระนาบโดยธรรมชาติและต้องการทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียวก็สามารถให้ผลลัพธ์เหมือน IPS เลยเรียกว่าว่าชนิด VA (Vertical Align) จอชนิดนี้จะไม่ใช้ผลึกเหลวที่ทำงานเป็นเกลียวอีกต่อไป แต่จะมีผลึกเป็นแท่ง ซึ่งปกติถาไม่มีไฟป้อนเข้าไปหาก็จะขวางจอเอาไว้ทำให้เป็นสีดำ และเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้าก็จะตั้งฉากกับจอให้แสงผ่านเป็นสีขาว ทำให้จอชนิดนี้มีความเร็วสูงมาก เพราะไม่ได้คลี่เกลียว แต่ปรับทิศทางของผลึกเท่านั้น จอชนิดนี้จะมีมุมมองได้กว้างราว 160 องศา

ปัจจุบันบริษัท Fujisu ได้ออกจอชนิดใหม่คือ MVA (Multi-Domain Vertical Alignment) ออกมาแก้บั๊กตัวเอง คือจากรูจะเห็นว่าด้วยความที่เป็นผลึกแท่ง และองศาของมันใช้กำหนดความสว่างของจุด ดังนั้นเมื่อมองจากมุมมองอื่น ความสว่างของภาพก็จะเปลี่ยนไปเลย เพราะถูกผสมในอีกรูปแบบหนึ่ง จอ Multidomain ก็จะพยายามกระจายมุมมองให้แต่ละ Pixel นั้นมีผลึกหลายมุมเฉลี่ยกันไป ทำให้ผลกระทบจากการกระมองมุมที่ต่างออกไปหักล้างกันเอง

เทคโนโลยีมอนิเตอร์แบบ LCD มีจุดเด่นหลายประการคือ

  • ขนาดเล็กกะทัดรัดและนํ้าหนักเบา
    ด้วยการทำงานที่ไม่ต้องอาศัยปืนยิงอิเล็กตรอน จึงช่วยให้ด้านลึกของจอภาพมีขนาดสั้นกว่ามอนิเตอร์แบบ CDT ถึง 3 เท่าและด้วยรูปร่างที่แบนราบทางด้านหน้าและด้านหลัง ในบางรุ่นจึงมีอุปกรณ์เสริมพิเศษสำหรับติดฝาผนังช่วยให้ประหยัดพื้นที่มากยิ่งขึ้น
  • พื้นที่การแสดงผลเต็มพื้นที่
    จากเทคโนโลยีพื้นฐานในการออกแบบ ทำให้จอมอนิเตอร์แบบ LCD สามารถแสดงผลได้เต็มพื้นที่เมื่อเปรียบเทียบกับแบบ CDT ขนาด 17 นิ้วเท่ากัน พื้นที่แสดงผลที่กว้างที่สุดจะอยู่ที่ 15 นิ้วกว่าๆ เท่านั้น
  • ให้ภาพที่คมชัด มีรายละเอียดสูง และมีสัดส่วนที่ถูกต้อง
    เนื่องจากมอนิเตอร์มีความแบนราบจริง
  • ช่วยถนอมสายตาและมีอัตราการแผ่รังสีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตํ่ามาก
  • ประหยัดพลังงานไฟฟ้า
    ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ตํ่ากว่าจอ CDT ถึง 60 เปอร์เซ็นต์
  • ความสามารถในการรองรับอินพุต (Input) ได้หลายๆแบบพร้อมกัน
    เนื่องด้วยมอนิเตอร์แบบ LCD สามารถรับสัญญาณจากแหล่งสัญญาณดิจิตอลอื่นๆได้ เช่น โทรทัศน์หรือเครื่องเล่นดีวีดีและบางรุ่นสามารถทำภาพซ้อนจากหลายแหล่งข้อมูลได้ จึงทำให้จอมอนิเตอร์แบบ LCD เป็นได้ทั้งเครื่องรับโทรทัศน์และจอมอนิเตอร์ในเวลาเดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องซื้อมอนิเตอร์หลายๆ

เทคโนโลยีจอแสดงผล LED Screen

จอ LED เป็นระบบจอแสดงภาพขนาดใหญ่โดยใช้หลักการทำงานของการผสมสีของ LED หลัก3 สี ได้แก่ สีแดง (Red), สีเขียว(Green) และสีน้ำเงิน (Blue) หรือเรียกสั้นๆว่าRGB ให้เกิดเป็นสีต่างๆโดยความละเอียดในการปรับสีของLED แต่ละสีจะถูกควบคุมด้วยสายสัญญาณที่มีขนาดตั้งแต่16 บิตขึ้นไปดังนั้นยิ่งควบคุมด้วยจำนวนสายสัญญาณมากขึ้นก็จะได้ภาพที่มีความลึกของสี (Processing depth) มากขึ้นจึงได้ภาพที่สมจริงยิ่งขึ้น

ความก้าวหน้าในกระบวนการผลิตจอแสดงผล ทำให้สามารถมองถาพได้สมจริงมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยประหยัดไฟ ถนอมสายตา ดีต่อสุขภาพ



ที่มา: http://www.numsai.com

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไวรัส จาก msn

วิธีแก้ไวรัส msn

ตอนนี้จะมีไวรัสทาง MSN ซึ่งการติดเชื้อจะเกิดจากคนที่ใน list คุณส่งไฟล์มาให้
หลังจากที่เราเปิดไฟล์นั้นจะติดเชื้อทันที

ทาง แก้ก็ปิดระบบ auto รับไฟล์ที่หลายๆคนชอบเปิดกันใน msn plus หรือถ้าใครรับมาแล้วก็ไม่ต้องไปเปิดนะค่ะ ลบไฟล์ไปได้เลย ไฟล์จะถูกส่งมาในชื่อ image.zip ค่ะ


แต่ถ้าใครเผลอไปเปิดไฟล์แล้วติดเจ้าไวรัสตัวนี้ไปเรียบร้อยแล้วล่ะก็ เราก็มีวิธีแก้ค่ะ ลองทำตามวิธีนี้ดูนะค่ะ


ทางแก้ ไวรัส images.zip ทาง msn


1. กด ctrl + Alt + del เพื่อเรียก task manager


2. ดูที่ process list ว่ามี winlog32.exe หรือไม่ ถ้ามี ให้ end task ไป


3. ไปดูที่ start => run พิมพ์ว่า msconfig แล้ว enter


4. ไปที่ แท๊บ start up ดูหา Winlog32.exe ให้ uncheck มัน แล้ว กด OK ยังไม่ต้อง restart


5. เข้า Start => Search แล้วไป search ที่ drive c: หาไฟล์ winlog32.* ถ้าเจอ winlog32.exe – ให้ลบทิ้งไป


6. restart Windows ก็เป็นอันเสร็จสิ้นค่ะ


และอีกวิธีคือการเปลี่ยนพาสเวิร์ดเอ็มของเราครับ หลายคน(อาจจะ)งง ว่าจะเปลี่ยนทำซากอะไร มายุ่งอะไรกับเอ็มกู อ้าว ผมหวังดีครับ เพราะถ้าท่านติดไวรัสข้างต้น หรือไปเผลอเข้าเว็บดักพาสเวิร์ด ที่มันลองเอาเอ็มท่านไปแพร่ไวรัสใส่เพื่อนท่านต่อ ซึ่งถ้าเพื่อนของท่านติด ก็จะมาเตะ(หรือทำอย่างอื่น)เพื่อแก้แค้ดที่ทำให้เครื่องเค้าติดไวรัสครับ


ไวรัส msn เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์อีกรูปแบบหนึ่งที่เจาะจงโจมตีผู้ที่ชอบเล่นmsn messengerโดยเฉพาะ ในปัจจุบันผู้ใช้งานmsnแทบทุกคนรู้จักไวรัสคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กันเป็นอย่างดีเพราะมีการแพร่ระบาดหนักมาก การแพร่กระจายพันธุ์ของไวรัสชนิดนี้มักจะมากับ
ข้อความสนทนา(Contects MSN) ของเพื่อนๆที่อยู่ในListเรานั่นเอง โดยในข้อความจะมีลิ้งค์แปลกส่งมาด้วย หากเราเผลอคลิกเข้าไป
ด้วยความมือไวก็อาจจะติดไวรัสชนิดนี้ทันที


ไวรัส msn ได้ถูกพัฒนารูปแบบของการโจมตีแบบใหม่ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุดล่าสุดไวรัสmsnสามารถออนไลน์MSNได้เองและส่งข้อความแนบลิ้งค์ไป ยังเพื่อนๆในListของเราแบบกระหน่ำส่งอีกด้วย หลังจากส่งเสร็จก็จะ offline ไปแล้วก็กลับมา online ใหม่อีกครั้งแล้วก็ส่งข้อความมาอีกแบบไม่มีที่สิ้นสุดสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนๆ จากลักษณะของการโจมตีดังกล่าวบ่งบอกชัดเจนถึงจุดประสงค์ของไวรัส msn คือ ที่ต้องการหลอกลวงข้อมูลจากเพื่อนๆ ของเรานั่นเอง ดังนั้นเราจำเป็นต้องรีบหาวิธีป้องกันโดยด่วน


รูปแบบของไวรัส MSN



มีการส่งลิ้งค์พร้อมข้อความ(กำลังระบาดในปัจจุบัน) โดยรูปแบบนี้ เมื่อเพื่อนๆคลิกที่ลิงค์ ก็จะนำไปสู่เว็บ จะมีช่องให้กรอกข้อมูล รูปแบบนี้เรียก การดักข้อมูล (Phishing) อาจจะขโมยรหัส ถ้าเพื่อนๆเผลอไปล็อกอินเข้าอาจจะโดนขโมยข้อมูล แถมมีไวรัสและยังทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆเป็นตัวแพร่กระจายไวรัส ไปสู่คนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอีเมล์ของ hotmail


วิธีแก้ปัญหา


หากพบอาการดังกล่าว อย่าแก้ปัญหาด้วยการ Block Contects ของเพื่อนๆคนนั้น วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายๆมาก เพียงแค่บอกเพื่อนๆที่ติดไวรัสแบบนี้ ให้เปลี่ยน Password Email ที่ใช้อยู่ทันที ควรตั้ง Password ให้ยากต่อการคาดเดา (อย่าลืมจดกันลืมไว้ด้วยนะครับ) เพียงเท่านี้พวกที่ไม่ประสงค์ดี ก็ไม่สามารถใช้อีเมล์ของเพื่อนๆเป็นเครื่อง มือในการแอบอ้างปล่อยไวรัสอีกต่อไป…


โปรแกรมฆ่า ไวรัส MSN สายพันธุ์ Win32-IRCBot ที่ระบาด ณ ขณะนี้ ตัวนี้ลบได้ 3 สายพันธุ์ ดังเช่นหากคุณได้รับไฟล์ดังต่อไปนี้


images.zip
pic.zip
photos.zip




http://msgmixlive.spaces.live.com/

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แข็งแรงที่กาย แข็งแรงที่ใจ


ความแข็งแรงที่สมบูรณ์แบบคือต้องแข็งแรงทั้งกายและจิตใจแต่จะทำอย่างไรล่ะ สุขภาพถึงแจ่มแจ๋วข้างนอกข้างในได้อย่างที่ต้องการ

1. ปลุกสมองด้วยน้ำชา

ในตอนเช้าแทนที่จะดื่มกาแฟอย่างเคย ลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำชาแทน เพราะมีคาแฟอีนน้อยกว่าชาครึ่งหนึ่ง และมีแมงกานีสที่ช่วยทำให้สมิงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ไม่ใช้ลิฟต์

ในลิฟต์แคบๆ นั้นไม่สามารถระบายอากาศได้เพียงพอ จึงมีเชื้อโรคคล่องลอยอยู่มากมาย ถ้าเปลี่ยนมาขึ้นบันไดแทน นอกจากอากาศจะดีกว่าแล้ว เรายังได้ออกกำลังกายทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้นด้วย

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้อารมณ์ดีและกระตุ้นการเผาพลาญอาหาร ทำให้อ้วนยากอีกด้วย

4. ใช้ถุงยางแบบใหม่

ช่วยให้ความรู้สึกเวลาร่วมเพศเปลี่ยนไป สร้างความแปลกใหม่ให้กับตัวเอง นอกจากนี้การใช้คอนดอมเป็นประจำยังลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

5. เริ่มวันใหม่ด้วยธัญพืช

ได้แก่ซีเรียลธัญพืชน้ำตาลต่ำกับนมพร่องไขมันหนึ่งชาม เป็นอาหารเช้าที่เหมาะกับทุดคนร่างกายจะได้ทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ แป้ง และวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับหนึ่งวัน

6. ทานปลาเป็นประจำ

ปลามีโปรตีนสูงและช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ช่วยลดโคเลสเตอรอลและมีไขมันที่ดีต่อร่างกาย

7. หยุดพักเสียบ้าง

ระหว่างวันควรหาเวลาสัก 10 นที หยุดพักบ้างเพื่อยืดเส้นยืดสาย ร่างกายจะได้ไม่ล้าและทำให้เลือดสูบฉีดได้ทั่วตัว เช่น ลุกขึ้นมาเดิน หรือก้มตัวขึ้นๆ ลงๆ ที่โต๊ะ

8. กินอาหารทะเล

อาหารทะเลมีวิตามินบี 6 อยู่เป็นจำนวนมากจะช่วยลดอาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือนได้และยังช่วยลดอัตราการเป็นอัลไซเมอร์ได้ถึง 4 เท่า

9. ใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร

เพราะเศษอาหารจะทำให้มีกลิ่นปาก จึงควรกำจัดออกไปเพื่อรักษาฟันให้แข็งแรงและบุคลิกภาพที่ดี

10. กินเต้าหู้

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและแคลอรีสูง หันมากินโปรตีนจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง จะสามารถลดแคลอรีได้ถึง 100 – 150



ที่มา : นิตยสาร SPICY